เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่กระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็น “การเพิ่มสิทธิประโยชน์เมื่อปรับเพดานจ้าง” ว่า การจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม กำหนดเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ไม่เคยมีการแก้ไขมาเป็นระยะเวลา 34 ปี ทำให้ผู้ที่มีค่าจ้างมากกว่า 15,000 บาท ถูกจำกัดสิทธิประโยชน์ไว้  

ดังนั้นเพื่อความเพียงพอและความมั่นคงของสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตน จึงจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาองค์การนายจ้าง-องค์การลูกจ้าง ผู้แทนพรรคการเมือง นายจ้างและลูกจ้างผู้ประกัน ถึงการปรับเพดานค่าจ้างในรูปแบบขั้นบันได 3 ครั้ง เริ่มตั้งแต่ปี 2569-2571 ปรับเป็น 17,500 บาท จากนั้นปี 2572-2574 ปรับเพิ่มเป็น 20,000 บาท และขั้นสุดท้าย ในปี 2575 เป็นต้นไป ปรับเพิ่มเป็น 23,000 บาท ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ค่าคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ว่างงาน บำนาญชราภาพ และเสียชีวิต

ทั้งนี้ เบื้องต้นมีการรับฟังความคิดจากทั่วประเทศ มีผู้ส่งความเห็นกว่า 250,000 ราย ส่วนใหญ่เห็นด้วยให้ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้มานานให้สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจเพื่อผู้ประกันตน ส่วนหลังจากนี้ผลที่ได้จากทุกช่องทางจะนำไปสรุปเสนอบอร์ดประกันสังคมเพื่อพิจารณาปรับแก้กฎหมายต่อไป ยืนยันว่า การเสนอปรับฐานเพดานค่าจ้าง เพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ประกันตนในอนาคต ไม่ใช่เงินกองทุนจะหมด

ทั้งนี้ เมื่อมีการปรับฐานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบ จากเดิมค่าจ้าง 15,000 บาท จ่ายสมทบสูงสุดเดือนละ 750 บาท ต่อจากนี้ในปี 2569-2671 เงินเดือน 17,500 บาท จ่ายสมทบสูงสุดเดือนละ 875 บาท จากนั้นในปี 2572-2574 ค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายสมทบสูงสุดเดือนละ 1,000 บาท และปี 2575 เป็นต้นไป ค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายสมทบสูงสุดเป็นเดือนละ 1,150 บาท โดยผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้นเป็นเงินทดแทนและเงินสงเคราะห์สูงสุด ทั้งกรณีว่างงาน ชราภาพ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต อาทิ กรณีทุพพลภาพสูงสุด 11,500 บาทต่อเดือน กรณีว่างงานสูงสุด 11,500 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน กรณีคลอดบุตรสูงสุด 34,500 บาทต่อครั้ง บำนาญชราภาพตลอดชีวิต หากส่ง 25 ปี รับเดือนละ 8,050 บาท กรณีเสียชีวิตสูงสุด 138,000 บาท เป็นต้น ส่วนผู้ที่ค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท ยังคงส่งเงินสมทบอัตราเดิมไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้าง

ผู้ประกันตน นายจ้าง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยังสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ประกันสังคม www.sso.go.th จนถึงวันที่ 15 ธ.ค. 2567