เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 67 ที่รัฐสภา นายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวเนื่องในวันรัฐธรรมนูญว่า ตนมองว่าโอกาสที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าอาจจะไม่ทันเสร็จสิ้นในสภาอย่างแน่นอน ส่วนตัวคาดว่าจะได้เพียงแค่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ตรงจุดนี้ก็ยังติดปัญหาอยู่เช่นกัน เพราะโอกาสการจะทำประชามติ 2 ครั้ง ไม่เชื่อว่าจะทำได้ ซึ่งต้องทำตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคือ 3 ครั้ง เนื่องจากหากทำแค่ 2 ครั้ง สมาชิกรัฐสภาอาจจะอึดอัดกับการโหวต เพราะอาจจะไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีข้อผูกมัดอยู่ ดังนั้นวันเวลาที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ก็ต้องเท่ากับว่าการจัดทำประชามติต้องยืดออกไปอีก 180 วัน และบวกอีก 100 วัน สำหรับการทำประชามติตามกฎหมาย ซึ่งการจัดทำประชามติก็จะเกิดขึ้นปลายเดือน ธ.ค. 68 ถึงต้นเดือน ม.ค. 69 ดังนั้นโอกาสสุดท้ายที่จะทัน ส.ส.ร. คือยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในเดือน ม.ค. 68 เพื่อจะพิจารณาให้แล้วเสร็จในเดือน มี.ค. 70 เป็นโอกาสครั้งเดียวที่จะต้องผ่าน เพราะหลังจากเดือน มี.ค. หากกฎหมายผ่านก็จะไปทำการเลือก ส.ส.ร.ขึ้นมา ซึ่งจะต้องใช้เวลาไปอีก 80-90 วัน ก่อนมานำเข้าที่ประชุมสภาอีกครั้ง ซึ่งสภาจะปิดในวันที่ 10 เม.ย. 70
นายนิกร กล่าวว่า ตนจึงขอย้ำว่าเป็นโอกาสสุดท้าย ยังทันที่จะกลับมาพิจารณาในสภาที่มีอยู่ แต่หากครั้งแรกไม่ผ่าน หากดำเนินการในต้นปี 70 ไม่ทัน เนื่องจากติดปัญหาวุฒิสภาไม่เห็นด้วยก็จะไปเข้าสู่สมัยที่สอง ซึ่งเป็นสมัยสุดท้าย และจะไม่ทันตั้ง ส.ส.ร. อย่างมากก็จะได้แค่การยื่นญัตติ ดังนั้นส่วนตัวเห็นว่า เมื่อมีโอกาสเดียว พรรคร่วมรัฐบาลควรจะมีร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เสียเอง เพราะจะได้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และมีทางเดียวที่จะผ่าน แต่หากต่างพรรคต่างยื่น ไม่เชื่อว่าจะผ่านได้
นายนิกร กล่าวต่อว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังค้างอยู่ในรัฐสภาของพรรคประชาชน ส่วนตัวมีความกังวลว่ามาตรา 256 ที่ค้างอยู่ในสภาขณะนี้ ที่นำเสนอสภาไปแล้ว ไม่มี ส.ส.ร.โดยเฉพาะมาตรา 256 (8) ที่มีประเด็นว่าจากจะทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติอยู่ในนั้นด้วย แต่มาตราดังกล่าวเอาหมวดที่เกี่ยวพระมหากษัตริย์และรัฐออกไปคือไม่ต้องทำประชามติ จุดนี้จะมีปัญหา ส่วนตัวเชื่อว่าวุฒิสภาจะไม่เห็นด้วย แต่ร่างนี้อาจจะเข้าสู่การพิจารณาได้ ทั้งนี้หากจะมีการยกร่างใหม่ มาตรา 256 ที่มี ส.ส.ร.ไม่เชื่อว่าจะเข้าสภาตอนนี้ได้ ต้องรอให้การทำประชามติเสร็จเสียก่อน
“จึงขอบอกว่าเป็นโอกาสสุดท้าย ในการที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งให้ทันสภาชุดนี้ แต่ว่ายังมี ส.ส.ร. ก็ยังดี แต่ว่าโอกาสน้อยมาก ต้องพยายามอย่างยิ่ง และต้องคุยกับทางวุฒิสภา เมื่อไม่คุยก็ไปไม่ได้” นายนิกร กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการหารือกับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ นายนิกร กล่าวว่า วันนี้ถือว่าตนเองได้เสนอเรื่องนี้ในวันรัฐธรรมนูญและขอชี้ว่ามีโอกาสเดียวแล้วที่จะทำได้ตามนโยบายของรัฐบาล นั่นก็คือว่ารวมตัวกัน เหมือนการแก้ไขบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งตอนนั้นใช้ร่างของพรรคร่วมรัฐบาลจึงทำได้ ดังนั้นเรื่องนี้ก็เหมือนกันจำเป็นต้องใช้ร่างของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้ทุกพรรคที่ไปประกาศนโยบายเรื่องนี้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ต้องมาร่วมกันทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ และจะเป็นผลงานสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ คือให้มี ส.ส.ร.และบอกประชาชนให้ชัดว่าเราทำทั้งฉบับไม่ทัน แต่การมี ส.ส.ร.ก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว และดีที่สุดแล้ว
เมื่อถามย้ำว่า จะฝากบอกกับพรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลอย่างไร ที่ยังเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามพรรคต่อสภาอยู่ นายนิกร กล่าวว่า ตนอยู่กับเรื่องนี้มานานและพยายามจะแก้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกยุบ จึงมีความตั้งใจ และขอบอกในฐานะคนที่อยากให้มีรัฐธรรมนูญจริงๆ จึงอยากฝากบอกผ่านสื่อมวลชนว่าพรรคการเมืองต้องมาร่วมกัน เพราะเป็นของทุกคนและของวุฒิสภาด้วย ดังนั้นจะต้องมีการพูดคุยกับวุฒิสภาด้วย จะคิดแต่ในส่วนของพวกเราไม่ได้ เพราะยังต้องอาศัยเสียงของวุฒิสภาหนึ่งในสาม ซึ่งหากไม่คุยกันไม่มีร่างของรัฐบาล ส่วนตัวเชื่อว่ายากมากเพราะจะมีประเด็นที่แตกออกไปอีกมาก เพราะต้องมีร่างของรัฐบาลก่อน แล้วต่อจากนั้นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องไปคุยกัน และต้องหารือว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เอาแต่ฝ่าย สส. แต่ก็ต้องคุยกับวุฒิสภาว่ารับได้แค่ไหนด้วย
“รัฐธรรมนูญเป็นของทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นของพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน แต่เป็นของทุกคน ซึ่งทุกคนก็กังวลกับรัฐธรรมนูญนี้ หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามของรัฐบาลยังทัน โดยร่างจะต้องจัดทำเสร็จก่อนการจัดทำประชามติ ซึ่งจะไปตรงกับไทม์ไลน์ที่ระบุว่าทำประชามติในต้นปี 69 ก็ยกร่างตอนนั้น แต่ส่วนตัวเห็นว่าให้เสนอร่างฯ ตอนนี้เลย เพื่อให้ประชาชนได้เห็นและได้ไปลงคะแนน เพราะคะแนนการทำประชามติ แม้ว่าจะเอาตามมติของ สส.แต่หากได้มาน้อยก็จะเป็นข้ออ้างด้วยเหมือนกัน เพราะหลักการของวุฒิสภา เห็นว่าจะออกมาเกินกึ่งหนึ่ง แต่หากได้เพียงร้อยละ 20 ทุกคนจะว่าอย่างไร ประกอบกับผลสำรวจนิด้าโพลที่ประชาชนเห็นว่าเสียงประชามติต้องได้เกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใข้สิทธิ ตรงนี้จะเป็นหลังพิงฝา ซึ่งจะทำให้ยากขึ้นไปอีก” นายนิกร กล่าว.