นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ในเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ว่าใครกันแน่ทำลายชาติ?
วันนี้สิ่งที่นำเสนอคืออยากให้เข้าใจกัน 4 ประเด็นหลักคือ 1. สิ่งที่เรียกว่า MOU 44 นั้นไม่ได้จู่ๆ เกิดขึ้นมาลอยๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่เป็นผลสืบเนื่องจากการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับฝ่ายกัมพูชา มาตั้งแต่ปี 2513 หรือกว่า 50 ปี ครึ่งทศวรรษมาแล้ว (ที่ยืดเยื้อนานมากเพราะปัญหาความไม่สงบและการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ) โดยนับตั้งแต่การเจรจาจนลงนามทำ MOU ฉบับนี้ในปี 2544 เป็นต้นมา ทุกรัฐบาลก็ถือตามบันทึกความเข้าใจนี้มาโดยตลอด ไม่เคยมีรัฐบาลใดขอเจรจายกเลิกอย่างเป็นทางการ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ยึดตามนี้และได้แต่งตั้งพลเอกประวิตร เป็นประธานคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ทำหน้าที่หัวหน้าการเจรจา

ดังนั้น การดำเนินการของรัฐบาลปัจจุบันจึงไม่ได้แตกต่างไปจากทุกรัฐบาลในอดีตแต่อย่างใด โดยเห็นว่าแนวทางนี้ ที่ได้มีการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการปกป้องและเสริมสร้างผลประโยชน์ของประเทศชาติ
2. เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับประเทศอื่นนั้น ไทยเราก็ได้เจรจาเช่นนี้สำเร็จมาแล้วกับมาเลเซีย รวมทั้งเจรจาเรื่องเขตทางทะเลกับเวียดนาม เรื่องเหล่านี้จึงเคยมีการดำเนินการมาแล้วทั้งสิ้น และสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ ในการนำพลังงานก๊าซธรรมชาติมาใช้ ดังในยุคโชติช่วงชัชวาลที่ไทยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก
3. ที่สำคัญคือ MOU 44 ถือเป็นการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของประกาศพระบรมราชโองการ การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทยในปี 2516 ทุกประการ เพราะในพระบรมราชโองการมีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “…เส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน…” (โปรดดูภาพประกอบ) ดังนั้นการเจรจาเพื่อนำไปสู่ความตกลงกัน จึงเป็นไปตามที่พระบรมราชโองการระบุไว้
4.ผลของการเจรจาตาม MOU 44 จะต้องเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยรัฐสภาก่อน จึงจะมีผลตามกฎหมายได้ หมายความว่ารัฐบาลหรือบุคคลใดก็ตามไม่สามารถไปเจรจาตกลงเองตามลำพังได้ ท้ายที่สุดประชาชนไทยต้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบผ่านตัวแทนและกลไกของรัฐสภา อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ตามระบบประชาธิปไตย
จาก 4 ข้อที่นำเสนอนี้ผมมีข้อสังเกต แต่ที่บางประเด็นไม่ได้พูดเพราะเวลาจำกัด ดังนี้ ถ้าวันนี้คุณประท้วง MOU 44 คุณไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่ประท้วงก่อนหน้า โดยเฉพาะ 10 ปีที่ผ่านมา ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่ตั้งพลเอกประวิตร เป็นหัวหน้าคณะเจรจา (JTC)?ถ้าไม่ท้วงก่อนหน้าย่อมแสดงว่าในอดีตเคยยอมรับ แต่มาทำตอนนี้ก็ต้องถามว่าหลักการ ความน่าเชื่อถือหรือเจตนาบริสุทธิ์อยู่ที่ใด?
หากใครบอกว่าไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอยู่จริง มีแต่เพียงเส้นอ้างสิทธิของฝ่ายไทยเท่านั้น เหตุใดในยุคพลเอกประยุทธ์ ที่มีอำนาจมหาศาล มี ม.44 ในมือ สั่งได้ทุกอย่าง จึงไม่รีบไปขุดก๊าซขึ้นมาสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ? ซึ่งก็แสดงว่ามันทำไม่ได้จริง หากไม่มีการเจรจาตกลงกับอีกประเทศก่อนนั่นเอง-หากการแบ่งผลประโยชน์ในไหล่ทวีปเพื่อนำก๊าซธรรมชาติใต้ทะเลมาใช้สามารถสร้างความเจริญกินดีอยู่ดีให้ประชาชน ดังเช่นที่ไทยเคยทำกับมาเลเซีย การขัดขวางการเจรจากับกัมพูชาเพื่อนำก๊าซในทะเลมาใช้นั้น ย่อมเท่ากับเป็นการขัดขวางการสร้างความเจริญและทำลายโอกาสของประเทศชาติ ใช่หรือไม่?
ในเมื่อในประกาศพระบรมราชโองการ 2516 ระบุไว้ชัดเจนว่า จะต้องเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน ซึ่งยอมหมายถึงจะต้องมีการเจรจา ดังนั้นระหว่างผู้ที่ดำเนินการให้มีการเจรจา กับผู้ขัดขวางการเจรจา ใครกันแน่คือผู้ที่ไม่ทำตามเจตนารมณ์ของพระบรมราชโองการ? และใครกันแน่ทำลายชาติ?