เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายทักษิณ​ ชินวัตร​ อดีตนายก​รัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีจากกรณีบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ฉบับปี 2544 ว่า ปี 2544 สมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี บันทึกข้อตกลงดังกล่าวคือ เราจะตกลง และเราจะคุยกัน ในข้อที่เรายังไม่ได้ตกลงกัน และไม่ได้หมายความว่า เราตกลงกันแล้ว แต่เป็นกรอบที่เราจะพูดคุยในเรื่องที่เรายังตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดสนธิสัญญา เอ็มโอยูฉบับปี 2544 ซึ่งที่เราคุยกันก็คือการลากเส้นเขตแดนทางทะเลที่ไม่ตรงกัน โดยต้องอ้างกฎหมายระหว่างประเทศ และอ้างสนธิสัญญา  ส่วนเรื่องเกาะกูด ที่มีการพูดโจมตี และคนพูดไม่ได้ดูเนื้อหาสาระ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดจริงๆ แล้วมันไม่มี

“เกาะกูดเป็นของไทยมานานแล้ว และอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ในสมัยที่ยึดครองประเทศกัมพูชาในสมัยนั้น ที่ระบุว่าเกาะกูดเป็นของไทย เกาะกงเป็นของกัมพูชา แต่วิธีลากเส้นของกัมพูชาไม่ถูก ซึ่งผิดหลักกฎหมายสากลอยู่แล้ว แต่ของเรามั่นใจว่า วิธีลากเส้นของเราถูกกว่า แต่ผลสุดท้าย เราก็ต้องมาพูดคุยกันในเรื่องที่เราไม่ได้ตกลงกัน แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้คุยกัน เพียงแค่บอกว่าจะคุย แต่ก็เกิดการโวยวายกันใหญ่”นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ปัญหาคือ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้น อีกประมาณ 20 ปีจะไม่สามารถใช้ได้ เพราะคนกำลังเรียกหาพลังงานสีเขียว เลิกใช้พลังงานที่เกิดจากฟอสซิล เพราะฉะนั้นอีก 20 ปี เราจะทิ้งทรัพย์สินตรงนี้ประมาณ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งหากใช้ไม่ได้ก็จะหายไป แต่หากเราตกลงกันได้ ในข้อตกลง 2 อย่างคือ 1.ผลประโยชน์ทางทะเล 2.คือเส้นเขตแดน ซึ่งเขตแดนบนบกไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาที่ทางทะเล ทำให้เรื่องนี้ยังไม่จบ และรู้หรือไม่ว่าหลายชาติก็มีปัญหาเรื่องเขตแดน ซึ่งเราก็มีปัญหากับประเทศมาเลเซีย เมียนมาก็มี ลาวก็มี รวมไปถึงว้าแดง ที่เขาใช้ชนกลุ่มน้อยมาเป็นแนวกันชน ซึ่งตอนหลังก็ต้องมาดูกันว่าตรงนั้นเป็นของใคร เพราะต่างคนต่างอ้างสิทธิเส้นเขตแดน ซึ่งก็ต้องมาคุยกันตามหลักสากล แม้แต่หมู่เกาะทะเลจีนใต้ที่มีปัญหากันหลายประเทศ เพราะจีนก็บอกอีกเขตหนึ่ง อีกประเทศก็ยึดอีกเส้นเขตแดนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศชาติก็มีปัญหา

ช่วงหนึ่งนายทักษิณพูดผิดเป็นมาตรา 44 ก่อนบอกว่า เพราะมาตรา 44 โดนมาเยอะ โดนมาหลายดอก เลยยังพูดมาตรา 44 อยู่ แต่จะบอกว่าเรื่องของเอ็มโอยูฉบับปี 2544 เป็นเรื่องที่เราจะพูดคุยกัน ในเรื่องที่เรายังไม่ตกลงกัน เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปโวยวาย

“ไม่มีใครเขาไปขายชาติหรอก ถ้าขายคนเฮงซวย พอขายได้ แต่ไม่มีใครเอาอยู่แล้ว กลัวเป็นภาระเขา” นายทักษิณ กล่าว

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนการฟื้นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (โอซีเอ) ปัจจุบันยังไม่มีการตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เคยบอกว่า จะเป็นของใคร เพราะทุกอย่างมันชัดอยู่แล้ว เรื่องบนบกมันจบไปนานแล้ว เหลือแต่เรื่องเส้นทางทะเล ที่จะต้องแบ่งกันว่า ผลประโยชน์ตรงนี้ควรจะเป็นของใคร แต่สิ่งที่เถียงกันแทบตาย คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือใครรู้หรือไม่ คือ บริษัทที่ได้รับสัมปทานเดิม เพราะสัญญายังคงอยู่ ซึ่งประเทศจะได้ประโยนช์ ได้น้ำมัน ได้นำก๊าซธรรมชาติมาใช้ หากการขนส่งใกล้หน่อยก็จะมีต้นทุนที่ราคาถูก ซึ่งวันนี้ต้องมีคนอธิบาย กระทรวงการต่างประเทศต้องอธิบายให้ชัดเจน จริง ๆ แล้วประเทศไทยเรา ต้องคณะกรรมการมาจากทุกฝ่าย ทั้งของกระทรวงต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง ไม่มีอะไรทำง่าย ๆ เพราะบางทีบางคนก็นำไปว่า ไปด่าว่าตนมีความสัมพันธ์กับสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน

นายทักษิณ ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า ใครจำได้เหตุการณ์ตอนที่เผาสถานทูตไทย ในประเทศกัมพูชา วันนั้นตนก็เป็นเพื่อนกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ซึ่งตนก็ต่อสายโทรศัพท์ไปหา แล้วบอกว่า ตนไม่ยอม ที่มาเผาสถานทูตไทย คุณจะต้องรับผิดชอบ แล้วปัญหาก็คือ มีคนไทยอยู่ที่นั่น คุณจะเอาอย่างไร ดูแลได้หรือไม่ หากดูแลไม่ได้ พรุ่งนี้ตนจะส่งเครื่องบินไปรับ ซึ่งเวลาพูดคุยกัน ก็คุยรุนแรงเช่นนี้ แต่เราเข้าใจกัน ซึ่งการเป็นเพื่อน ก็ดีกว่าการเป็นศัตรู แต่งานของประเทศต้องมาก่อน ไม่ใช่เป็นเพื่อนแล้วมาบอกว่า ยกประเทศให้เพื่อน นั่นมันควายแล้ว และขณะนั้นประเทศกัมพูชายังไม่มีเงินเท่าไหร่ แต่ต้องมาใช้หนี้ที่เผาสถานทูตไทย หากจำไม่ผิดประมาณ 3 ล้านเหรียญ และวันนั้นตนก็ส่งเครื่องบิน ส่งหน่วยคอมมานโดไปเอาคนไทยกลับมา ไม่เห็นจะโกรธกันเลย ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันคงโกรธกันแล้ว ทำแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ ตนยังอยากทำแบบนี้กับอีกหลายเรื่อง พอดีเกรงใจนายกฯ แพทองธาร กลัวโดนลูกหลง