สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ว่าแนวทางปฏิบัติว่าด้วย การให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม “ต้องร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ” หากลูกค้าตกเป็นเหยื่อ และได้รับความเสียหายจากการหลอกลวง โดยแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา


รัฐบาลสิงคโปร์กล่าวว่า วัตถุประสงค์แท้จริงของการกำหนดกรอบการทำงานดังกล่าว คือการกระตุ้นเตือนให้สถาบันการเงินและบริษัทโทรคมนาคมเพิ่มความเข้มงวด ในการตรวจตราและดูแลความปลอดภัยให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เงินในบัญชีของลูกค้า “หายไปอย่างน่าสงสัย”


หากเกิดเหตุที่เงินจำนวนมากหายออกไปจากบัญชีในคราวเดียว ธนาคารต้องส่งดำเนินการภายในเวลา 24 ชั่วโมง ด้วยการส่งข้อความผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ลูกค้าใช้บริการ เพื่อแจ้งความผิดปกติดังกล่าว และในระหว่างนี้ ธนาคารต้องระงับการทำธุรกรรม


ทั้งนี้ บัญชีซึ่งมีเงินฝากอย่างน้อย 50,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.71 ล้านบาท) หากมีการโอนเงินออกไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ธนาคารต้องระงับธุรกรรมดังกล่าวทันที และห้ามการโอนเงินนั้นจนกว่าจะติดต่อลูกค้าได้ หรือการส่งข้อความแจ้งให้ลูกค้าทราบ ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ลูกค้าใช้งาน และระงับธุรกรรมดังกล่าวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ย้อนกลับไปเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สิงคโปร์บังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ เพื่อยกระดับกวาดล้างมิจฉาชีพในรูปแบบคอลเซ็นเตอร์ โดยเป็นการควบคุมการลงทะเบียน และการตรวจสอบซิมการ์ด บุคคลใดที่ใช้ซิมการ์ด ด้วยวัตถุประสงค์ “ต้องสงสัยก่ออาชญากรรม” หรือครอบครองซิมการ์ดตั้งแต่ 11 ซิมขึ้นไป ถือเป็น “บุคคลต้องสงสัย” และพนักงานสอบสวนมีอำนาจตรวจสอบตามกฎหมาย ที่จะสอบสวนเจตนาการก่ออาชญากรรม

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องมีมาตรการป้องกันการจดทะเบียนซิมปลอม และการตรวจสอบข้อมูลยืนยันตัวตนของผู้ที่จดทะเบียนทุกคน ว่าเป็นของจริงหรือไม่


บุคคลใดฝ่าฝืนอาจต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลานานสูงสุด 3 ปี ปรับเป็นเงินสูงสุด 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 253,152.70 บาท) หรือทั้งจำทั้งปรับ.

เครดิตภาพ : AFP