เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดยนายพิชิต ชัยมงคล ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดยนายอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่ม ศปปส. และกองทัพธรรม ยื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบการปราศรัยหาช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุบลราชธานี ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2567 ว่าเข้าข่ายผิดระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น 2563 ข้อที่ 22 ที่กำหนดห้ามผู้สมัครดำเนินการ หรือยินยอมให้พรรคการเมือง หรือผู้ใด ดำเนินการนำสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง

นายพิชิต กล่าวว่า ในการปราศรัยช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ของนายทักษิณ มีการปราศรัยด้วยข้อความที่พาดพิงและกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยนายทักษิณ พูดในทำนองว่า “17 ปีที่หายไปจะกลับมาคืนความสุขให้กับคนไทย ถ้าคนไทยอยากได้ความสุขก็ให้เลือกนายกอบจ. ของพรรคเพื่อไทย หรือ สส. ของพรรคเพื่อไทยให้มากขึ้นกว่านี้” และพูดถึงว่า “การกลับมาครั้งนี้จะกลับมารับใช้เบื้องพระยุคลบาท เพื่อคืนความสุขให้กับคนไทย” ซึ่งก็จะไปสอดคล้องกับที่พูดก่อนหน้านี้ว่าต้องเลือกพรรคเพื่อไทย จึงจะคืนความสุขให้ ดังนั้นจึงเข้าข่ายหมิ่นเหม่ แอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียง ทำให้เข้าใจได้ว่าตัวเองทำงานรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ ซึ่งการอ้างแบบนี้เหมือนอ้างทั้งพรรค เพราะบอกว่าต้องเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งคิดว่าระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น 2563 ข้อ 22 เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามพาดพิงหรือกล่าวถึงสถาบัน ดังนั้นจึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบการลงเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ ลงในนามพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง ก็ในนามพรรคเพื่อไทย ถ้าหากการปราศรัยของนายทักษิณ ผิดตามมาตรา 22 ก็จะนำไปสู่การร้องยุบพรรคได้หรือไม่

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายทักษิณ ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อมวลชน และเข้าไปที่ทำการพรรคเพื่อไทยมากขึ้น นายพิชิต กล่าวว่า แสดงความชัดเจนว่า ตอนนี้นายทักษิณ ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยโดยตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งมีการยังสั่งการ และครอบงำรัฐบาล ออกมาพูดโจมตีพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งขัดกับสิ่งที่นายทักษิณ ออกมาอ้างตอนที่ได้รับการพักโทษว่าป่วยถึงขั้นวิกฤติจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ลุกนั่งเองไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ แต่พฤติกรรมวันนี้ นายทักษิณ เดินทางไปร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทย และปราศรัยบนเวทีช่วยผู้สมัครหาเสียง จึงทำให้เกิดข้อสงสัยในสังคม

เมื่อถามว่าการทำงานของนายกรัฐมนตรี จะมองได้ว่าพ่อเข้าทำการแทรกแซงลูกได้หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงภาวะความเป็นผู้นำ ความเป็นนายกรัฐมนตรีให้เห็น สิ่งที่ น.ส.แพทองธาร พูด นายทักษิณ พูดนำก่อน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจ ทางการเมือง หรือต่างประเทศ จึงทำให้เห็นว่าเป็นการครอบครองและสั่งการอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่แปลกคือทำไม กกต. ไม่เห็นเรื่องนี้เลย กลับพยายามบิดเบือนไม่นำเรื่องนี้มาวินิจฉัย แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างที่ กกต. จะนำเรื่องนี้มาวินิจฉัย เราจึงมายื่นตอกย้ำให้ กกต. ได้พิจารณากรณีของนายทักษิณ อย่างถี่ถ้วน มิฉะนั้นก็จะเกิดการแทรกแซงอย่างนี้ตลอดไป

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าเรื่องที่นำมายื่นในวันนี้จะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย นายพิชิต กล่าวว่า เรายังจะต้องยื่นหลักฐานอื่นเพิ่มเติม ตนมองว่าสิ่งที่นายทักษิณ ได้ปราศรัยมีถ่ายทอดสดไปทั่วโลก และมีพฤติกรรมบ่งบอกด้วย ถ้า กกต. วินิจฉัยว่าการปราศรัยเป็นการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะนำไปสู่การร้องยุบพรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะนายทักษิณ ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ.อุบลราชธานี ก็ไปในนามพรรคเพื่อไทย ดังนั้นก็เป็นการกระทำร่วมกันของพรรคการเมือง.