เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ในวาระการพิจารณากระทู้ถามของนายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย ถาม รมว.เกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ปัญหาการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำชีและพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะโครงการผันน้ำลุ่มน้ำชีไปยังลุ่มน้ำเสียวใหญ่ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมายาวนานและยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และลุ่มน้ำชี ต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากอย่างต่อเนื่อง ในฤดูฝนน้ำจากลุ่มน้ำชีมักไหลล้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและชุมชน ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่ในฤดูแล้งกลับเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรง ส่งผลกระทบต่อทั้งการทำการเกษตรและการอุปโภคบริโภค
นายชัชวาล กล่าวต่อว่า สำหรับ “โครงการผันน้ำลุ่มน้ำชีสู่ลุ่มน้ำเสียวใหญ่” เป็นคำมั่นสัญญา 20 ปีที่ยังไม่เป็นจริง เพราะเป็นโครงการสำคัญของชาวอีสานลุ่มน้ำชี โดยถูกพูดถึงมานานกว่า 20 ปี แต่ยังคงไม่มีความคืบหน้าในทางปฏิบัติ แม้โครงการดังกล่าวจะเป็นความหวังของประชาชนในพื้นที่ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งได้อย่างยั่งยืน ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คือความทุกข์เรื้อรังของประชาชนที่สะสมมาหลายสิบปี จะต้องมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งประชาชนเฝ้ารอความหวังจากโครงการนี้มานาน แต่จนถึงวันนี้ โครงการนี้ยังเป็นเพียงคำสัญญาที่ไม่มีผลลัพธ์
นายชัชวาล กล่าวว่า เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากประชาชน ว่ามีความล่าช้าเกิดขึ้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องเริ่มจากการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ พร้อมจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ และดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำที่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้
สส.ชัชวาล ยังเรียกร้องไปยังผู้มีอำนาจว่า ขอให้มีแผนที่ชัดเจนและการปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณ และดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำให้สำเร็จ ซึ่งรัฐบาลต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนและแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา อย่าปล่อยให้คำสัญญากลายเป็นเพียงลมปาก ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและการแก้ปัญหาที่แท้จริง
“หากรัฐบาลยังคงนิ่งเฉยหรือไม่เร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ระเบิดเวลานี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงแค่สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร แต่ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลใส่ใจต่อความทุกข์ยากของพวกเขา” นายชัชวาล กล่าว.