เมื่อคืนวันที่ 18 ธ.ค. สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ. … พบว่า เสียงเห็นชอบเป็นของ สส.พรรคภูมิใจไทย เพราะต้องการหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบเสียงข้างมากสองชั้น ซึ่งถือว่าเป็นการโหวตสวนมติวิปรัฐบาลที่ต้องการประชามติแบบเสียงข้างมากปกติชั้นเดียว ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนไม่เห็นชอบ 326 เห็นชอบ 61 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1 เนื่องจากสภา มีมติไม่เห็นชอบ จึงมีผลให้ต้องยับยั้งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไว้ก่อน 180 วัน ถึงยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้

ยังพบด้วยว่าในเสียงเห็นชอบยังมี สส.ของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) รวมอยู่ด้วย ได้แก่ นายหรั่ง ธุระผล สส.อุดรธานี และ นายอดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส.อุดรธานี สส. 2 รายนี้แม้เป็นฝ่ายค้าน แต่ส่วนใหญ่กลับมีพฤติกรรมโหวตสนับสนุนให้ฝ่ายรัฐบาลมาโดยตลอด และพบอีกว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้มาร่วมโหวตจำนวนมาก เช่น พรรคเพื่อไทย 9 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 25 คน กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา 20 คน ที่ตอนนี้ไปสังกัดพรรคกล้าธรรม พรรคประชาธิปัตย์ 13 คน พรรคภูมิใจไทย 9 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน พรรคประชาชาติ 4 คน พรรคไทรวมพลัง 2 คน ส่วนพรรคประชาชน (ปชน.) มีเพียง 2 คน ไม่ได้ร่วมลงมติ คือ นายรัชต์พงศ์ สร้อยสุวรรณ สส.ตาก และนายสุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรค รทสช. กล่าวว่า พรรคมีมติไม่เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประชามติตามวุฒิสภาเสนอ แต่ที่มีหลายคนไม่มาลงมติ เพราะไปช่วยน้ำท่วมภาคใต้

เมื่อสวนมติวิปรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ไม่พอใจ บัญชี X และเฟซบุ๊ก ของพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความ “สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเสียงข้างมากยืนยัน ‘โหวตลงมติเสียงข้างมากชั้นเดียว’ สส.ยอมรอ 180 วันตามขั้นตอน เพื่อยืนยันมติก่อน ประกาศใช้ ย้ำ! อย่าไปหลงคารม ‘อีแอบ’ ที่ล็อกโหวตสองชั้น มิเช่นนั้น ชาติหน้าก็ไม่ได้แก้ อดทนรอเพื่อให้คนไทยใช้สิทธิประชาธิปไตยสร้างอนาคตที่ดีกว่า” ในการอภิปรายกฎหมาย พรรคเพื่อไทยมองว่า เกณฑ์การออกเสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำให้ประชาชนสับสน ยุ่งยาก และพาดพิงถึงบางพรรคร่วมรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาในนโยบายรัฐบาล

เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย ยังโพสต์ความเห็น สส. อาทิ นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แถลงนโยบายด้วยกัน ต้องปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงไว้ อยากเรียกร้องเห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สภาเป็นที่แก้ไข ไม่ใช่ที่ถ่วงความเจริญของประชาธิปไตย ใครคนใดไม่แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือถ่วงความเจริญ ตนถือว่าคนนั้นทำลายประชาธิปไตย

นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีอีแอบที่อยู่เบื้องหลังไม่อยากแก้ ไม่อยากให้สำเร็จ อย่าไปเชื่อตาม สว. ว่า ถ้าทำตามแล้วจะมีรัฐธรรมนูญได้โดยเร็ว ถ้าหลงตามเขาก็รอชาติหน้าไม่ต้องแก้

นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีคนถามว่าหากรัฐบาลผสม มีพรรคๆ หนึ่งไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้จะทำอย่างไร ตนตอบไปว่าต้องคุยกันเรื่อยๆ จนจบ หวังว่าจะคุยกัน หากมีปัญหาขึ้นมา ชาวบ้านจะตัดสินว่าบางพรรคที่บอกว่าอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นดีแต่พูด ประชาชนจะสั่งสอนในการเลือกตั้งปี 2570 ดังนั้นอย่าพูดเอาหล่อ

ส่วน “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร กล่าวว่า ไม่ต้องคุยกับพรรคภูมิใจไทย เพราะบางครั้ง สส.พรรคเดียวกันก็คิดไม่เหมือนกัน แต่อย่างไรการบริหารงานเราร่วมมือกันอยู่แล้ว ถือว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร คิดว่า การทำประชามติน่าจะทันตามกรอบเวลา เรื่องพรรคภูมิใจไทยให้ฝ่ายสภาเป็นคนจัดการ แต่เบื้องต้นให้วิปรัฐบาลสรุปก่อน

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อกฎหมายถูกยับยั้งไว้ ต้องรอ 180 วัน ถ้าเราตัดสินใจทำประชามติ 3 ครั้งคงยกร่างรัฐธรรมนูญไม่ทันสมัยรัฐบาลนี้ แต่ขณะนี้มีความพยายามที่จะขอพบนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประธานสภานั้นบรรจุวาระเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และทำประชามติเพียงสองครั้ง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ก็มาขอความร่วมมือกับตน ซึ่งไม่ได้ขัดข้องและยินดีเข้าไปพูดคุยกับประธานสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนกรณี กกต.เชิญ “นายกฯ อิ๊งค์” ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ไปชี้แจงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ครอบงำพรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์แจ้งว่าตนเองจะชี้แจงเองโดยส่งหนังสือชี้แจงไปว่าไม่ใช่การครอบงำ พร้อมกับนำพยานหลักฐานแนบไปด้วย เห็นหนังสือ กกต.แล้วเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. เป็นเรื่องเก่า ๆ ทั้งนั้น

ในที่สุด “กลุ่มมาตามนัด” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และสส.จำนวน 20 คนที่ถูกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขับออก ร่วมแถลงเข้าพรรคกล้าธรรมอย่างเป็นทางการ ร.อ.ธรรมนัส แถลงเปิดใจครั้งแรกว่า ขณะนี้เรามีสมาชิก 24 ชีวิต (จากพรรคเล็กที่เข้ามาก่อนหน้าอีก 4 คน) ทั้งที่ย้ายมาเก่าและใหม่ในพรรคกล้าธรรม เรายังมีอีกหลายชีวิต แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องนำเสนอหรือชี้แจงตอนนี้ ต่อไปจะมี สส.มาอีก เท่าที่คุยกัน รวมกับ 24 คนแล้วจะมีมากกว่า 30 คน และยืนยันว่า ไม่ได้มีดีลอะไรกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร.ให้ขับออกจากพรรค

“ผมออกมาโดยสันติ โดยไม่ทะเลาะกับใคร และจะทำงานที่สร้างสรรค์มากกว่าทำลายซึ่งกันและกัน เราจะทำการเมืองแบบใหม่ ยืนยันว่า ที่ออกจาก พปชร.ไม่เกี่ยวกับคดีใครรุกที่ ส.ป.ก. ผมรู้ข้อมูลการตรวจสอบว่าการเข้าครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องยึดคืนมาเพื่อเอาไปจัดสรรให้เกษตรกร แต่ก็มีหน่วยงานอื่นที่ลงไปตรวจสอบด้วยหลายหน่วยงาน และไม่เอาตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์คืน ผมเลยจุดนั้นมาแล้ว และไม่เกิดความอยากที่จะเป็นอะไร”

ผู้กองธรรมนัสบอกด้วยว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีพื้นที่ที่เล็งว่าจะได้ สส.เพิ่ม เช่น จ.สุราษฎร์ธานี กำแพงเพชร ราชบุรี ไม่ได้เอาพื้นที่ของ สส.พปชร. ไม่พูดแบบนั้น แต่ผู้สมัคร สส. คนที่ได้คะแนนเกิน 20,000 คะแนนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ตอนนี้อยู่กับเรา เรื่องการทำงานกับ พล.อ.ประวิตร ขออย่าพูดเรื่องอนาคต

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือการแอบใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่รับยาแพงแล้วมาขายต่อ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวแม่พาลูกตระเวนรับยาพ่นจมูก แล้วนำมาขายต่อทางออนไลน์ โดยมีการอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบเป็นการไปรับยาในความถี่ที่แปลกๆ ผิดปกติจริง จึงมอบหมายให้ สปสช.เขตที่เกี่ยวข้อง ไปตรวจสอบว่าเป็นการไปรับยาที่หน่วยบริการหน่วยเดียวหรือไปหลายหน่วยบริการ และให้ สปสช.เขตไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน

“ในภาพใหญ่กองทุนบัตรทองได้รับความเสียหาย เนื่องจากเงินทั้งหมดเป็นงบประมาณแผ่นดิน ดูจากพฤติกรรมแล้วมักจะไปในคลินิกหรือห้องฉุกเฉินนอกเวลาราชการ ที่มีความเร่งด่วน ผมเห็นใจแพทย์พยาบาลที่ห้องฉุกเฉินที่จะต้องเอาเวลาส่วนหนึ่งมาดูผู้ป่วย และบังเอิญช่วงนั้นมีคนไข้ที่ฉุกเฉินกว่าเข้าไป ยิ่งทำให้การตรวจสอบน้อย กรณีเช่นนี้ก็ว่าตามกฎหมาย เบื้องต้นเอาผิดผู้กระทำแน่ๆ กรณีนี้เป็นการเบิกจ่ายจากงบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่ง สปสช.โอนงบประมาณไปให้หน่วยบริการแล้ว และ สปสช.จะดูในภาพใหญ่อีกครั้งว่ามีการขอรับบริการถี่หรือไม่” ทพ.อรรถพร กล่าว

เรื่องนี้เป็นจิตสำนึกที่สำคัญ ไม่ว่าใครก็ไม่ควรหาช่องโกงในโครงการสวัสดิการรัฐ