น่าสนใจกับท่าทีของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้มากบารมีเหนือรัฐบาล หลังเพิ่งทิ้งบอมบ์ใส่พรรคร่วมรัฐบาล สาเหตุไม่ยอมเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเข้าร่วมพิจารณามีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ชี้ว่าอย่างนี้ ไม่ใช่เลือดสุพรรณ ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน วันหลังไม่อยากอยู่ ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่า ถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ตนป็นคนเกลียดพวกอีแอบ

แต่เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ระหว่างเดินทางไปที่ จ.นครราชสีมา เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงปัญหาความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ประเด็นเรื่องอีแอบระหว่าง “พรรคเพื่อไทย (พท.)” กับ “พรรคภูมิใจไทย (ภท.)” โดยตอบผู้สื่อข่าวว่า ขออย่าไปสนใจ จากนั้นกล่าวว่า เดี๋ยวไว้เราเจอกันที่เชียงใหม่ และเมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับพรรคภูมิไทย (ภท.) หรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันว่า เป็นประจำ ๆ

ทั้งนี้นายทักษิณ เตรียมเดินทางกลับบ้านเกิด จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 23-25 ธ.ค. 67 เพื่อช่วย “นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร” หรือ “สว.ก๊อง” หาเสียงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ. ) เชียงใหม่ ซึ่งอาจเป็นยุทธศาสตร์แยกกันเดิน รวมกันตี กับ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ซึ่งพยายามสร้างผลงานในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร ส่วนบิดาหวังฐานเสียงท้องถิ่น เพื่อเป้าหมายในการกวาด สส. 200 เสียง ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในขณะที่ระหว่างการบรรยายในระหว่างร่วมสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก “นายทักษิณ” ก็ไม่ได้กล่าวพาดพิงพรรคการเมืองใด หรือคิดว่าไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นมาอีก ยิ่งกำลังตกเป็นเป้าในการตรวจสอบของบรรดาโจทก์เก่า ที่ออกกดดันเรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งหาข้อสรุป กรณีนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ตกลงป่วยทิพย์หรือป่วยจริง

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 67 ย้อนไปดูผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเห็นชอบ 61 เสียง ไม่เห็นชอบ 327 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง ทั้งนี้จากการตรวจสอบเอกสารการลงมติ พบว่า เสียง “เห็นชอบ” เป็นของ สส.พรรค ภท. เพราะต้องการหลักเกณฑ์การออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) แบบเสียงข้างมากสองชั้น ซึ่งถือว่าเป็นการโหวตสวนมติวิปรัฐบาล ที่มีมติไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากขัดกับหลักการตั้งแต่ต้น ที่สภาต้องการให้การออกเสียงประชามติเป็นแบบเสียงข้างมากปกติชั้นเดียว

นอกจากนี้ในระหว่างการประชุมสภา เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ก็มีการโต้เถียงระหว่าง สส.พรรค พท. กับ “สส.พรรค ภท.” โดย “นายอดิศร เพียงเกษ” สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แถลงนโยบายด้วยกันก็ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วจะลงเรือลำเดียวกันได้อย่างไร ผมรู้ว่าคุณขวางเพื่อถ่วงไม่ให้แก้ รธน. ซึ่งมันแก้ยากอยู่แล้ว หรืออยากจะให้มีตะแล้นแต๊นแต๊นอีก สภาแห่งนี้ตั้งอยู่ถนนทหาร เรือรบ 1 ลำ รถถัง 1 คัน ยึดได้แล้วสภาแห่งนี้ ทำไมไม่โน้มจิตใจด้วยกันมาแก้ รธน. เห็นแก่ชาติบ้านเมืองเถอะ รธน.ฉบับนี้ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นอันตรายต่อสังคม เศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นหมด การเมืองทั้งหมด ขอให้กมธ.ร่วมฯ ฝ่าย สส. ที่กลับลำ กลับใจมาแก้ รธน.ฉบับนี้ ที่นี่เป็นที่แก้ไข ไม่ใช่ที่ถ่วงความเจริญของประชาธิปไตย ใครคนใดไม่แก้ไขกฎหมาย รธน. หรือถ่วงความเจริญ ผมถือว่าคนนั้นทำลายประชาธิปไตย

ขณะที่ “นายไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ พรรค ภท. มีเพื่อนสมาชิกพาดพิงว่า พรรค ภท. จะงดออกเสียง ไม่ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตย และมีเจตนาขวางการแก้ รธน. ตนยืนยันว่าไม่จริง ตราบใดที่เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการจริงๆ อย่างเห็นได้ชัด พรรค ภท. ไม่มีทางมาขัด แต่วันนี้ไม่ว่าอย่างไร ขอแจ้งว่าวันนี้พรรค ภท. ไม่งดออกเสียงแน่ๆ แต่ไม่ว่ามติจะออกมาเป็นอย่างไร พรรค ภท. จะเคารพในเสียงส่วนมาก ยืนยันอีกครั้งว่า กระบวนการทำประชามติ เป็นการคืนอำนาจจากสภาตัวแทนไปสู่เจ้าของอำนาจอธิบไตยตัวจริง คำนึงถึงความเห็นทุกคน และถูกตัดสินใจโดยเสียงส่วนมาก กระบวนการที่จะนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศจำเป็นต้องมีเกณฑ์ เพื่อสะท้อนความเห็นของประชาชนทั้งประเทศ ตนเห็นด้วยที่การทำประชามติ ควรเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนทุกคน แต่ไม่ควรจะมักง่ายในวิธีการ

ต้องรอดูความขัดแย้งระหว่าง “พท.” กับ “ภท.” จะลุกลามบานปลาย จนกระทบกับเอกภาพในการทำงานของรัฐบาล และอย่าลืมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกือบ 160 คน มีความใกล้ชิดกับพรรค ภท. จนถูกยกให้เป็น “สว.สายสีน้ำเงิน” ซึ่งถือว่า เป็นอำนาจต่อรองที่สูงมากเลย เรียกว่าแต่ละฝ่ายก็คุมไม้เด็ดไว้ เรียกว่าข่มกันไม่ลงจริง

เลือกตั้งนายกองค์การบริหารจังหวัด (อบจ.) อุบลราชธานี เข้าสู่วันพิพากษา โดยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 ธ.ค. 2567 โดยสนามอุบลฯ ผู้สมัครประกอบด้วย นายกานต์ กัลป์ตินันท์ อดีตนายก อบจ.ผู้สมัครเบอร์ 1 จากพรรค พท. “นายสิทธิพล เลาหะวนิช” อดีตรองนายก อบจ. ผู้สมัครเบอร์ 2 จากพรรคประชาชน (ปชน.) และเบอร์ 3 นางจิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล หรือ มาดามกบ ที่ปรึกษาพรรคไทรวมพลัง ลงสมัครในนามอิสระ

ด้าน “นายประวิทย์ ก้อนทองดี” ผู้อำนวยการเลือกตั้ง จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำความผิด ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา และมีการตั้งเป้าให้มีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 65 จากจำนวนผู้มีสิทธิกว่า 1,470,000 คน เนื่องจากเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ ผู้ที่ทำงานต่างจังหวัดจะไม่เดินทางกลับมา จะรอกลับมาในช่วงปีใหม่ทีเดียว จึงขอเชิญชวนให้ผู้มีสิทธิที่อยู่ในพื้นที่ร้อยละกว่า 80-85% พากันออกมาลงคะแนนตามหน่วยเลือกตั้งทั้ง 3,022 หน่วย ในพื้นที่ 25 อำเภอ ส่วนการประกาศผลคะแนนเลือกตั้งหลังปิดหีบในเวลา 17.00 น. คาดว่าจะมีเข้ามาที่สถานที่รวมคะแนนที่ว่าอำเภอทั้ง 25 แห่งซึ่งจะมีการรายงานผลแบบเรียลไทม์และสามารถประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลาไม่เกิน 24.00 น. ของวันเดียวกัน

ก่อนหน้านั้น “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ได้ไปช่วยปราศรัยหาเสียงให้นายกานต์ กัลป์นันท์ น้องชายนายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีต รมช.มหาดไทย ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รวมงานกับพรรค พท. มาโดยตลอด ขณะที่คู่แข่งสำคัญ “เจ๊กบ” จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล ผู้สมัครในนามพรรคไทรวมพลัง ซึ่งการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา “เจ๊กบ” ในฐานะเจ้าของพรรคเพื่อไทรวมพลัง (ชื่อเดิม) ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ส่งผู้สมัคร สส. ลงแค่ 2 เขต ใน จ.อุบลราชธานี และก็สร้างสถิติ 100% คว้าเก้าอี้ สส. มาได้ทั้ง 2 เขต โค่นตัวเก๋าของพรรค พท. ทั้ง “ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ-สมคิด เชื้อคง” ดังนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรค พท. คงประมาทไม่ได้ ต้องรอดูบารมี “นายทักษิณ” จะสามารถนำพาชัยชนะมาให้กับ “นายกานต์” เหมือนกับการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี หรือไม่

ขณะที่ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงความพร้อมการเลือกตั้งนายก อบจ. หลายพื้นที่ในนามพรรค พท. ว่า พรรคจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ. เพิ่มอีก 6 คน โดยวันที่ 24 ส.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. จะแถลงข่าวเปิดตัว ประกอบด้วย นางยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา และอีก 5 จังหวัดคือ มุกดาหาร หน่องคาย บึงกาฬ น่าน และปราจีนบุรี โดย พรรค พท. ค่อนข้างมั่นใจในสนามที่เราส่ง เพราะเราเลือกส่งในจังหวัดที่มั่นใจ โดยพรรค พท. มีนโยบายกลางให้ผู้สมัคร ลงไปทำความเข้าใจกับประชาชน ที่สำคัญท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกัน โอกาสพัฒนาจะค่อนข้างยาก

นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า การที่ พท. ไปทำงานเมืองท้องถิ่น จะทำให้การพัฒนาประเทศ ภาพรวมเป็นไปได้ด้วยดี เพราะเราจะสอดประสานระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง และนำความต้องการของประชาชนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง ผลักดันเป็นนโยบายตอบสนองความต้องการประชาชน ตรงนี้จะมีส่วนทำให้กระแสนิยมของพรรคเพิ่มขึ้น เพราะท้องถิ่นใกล้ประชาชน รู้ปัญหาดีกว่าระดับชาติ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเริ่ม จากไทยรักไทย (ทรท.) แต่ไม่ได้ถูกทำอย่างจริงจัง สิ่งที่หัวหน้าพรรคพูดเสมอคือให้โอกาสประชาชน ไม่ได้ยึดแต่นโยบายส่วนกลาง ต้องให้นโยบายท้องถิ่นได้รับการปฏิบัติเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยให้อำนาจประชาชนมากขึ้น แต่พรรคการเมืองอื่น ก็คงไม่ยอมให้พรรค พท. ได้ยึดครองการเมืองท้องถิ่น พรรคอื่นอย่าง ปชน. ก็ส่งคนลงสมัคร และทั้งอีกหลายพรรค คงต้องรอดูในที่สุด พรรคไหนจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด.