“สิว (Acne)” เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยรุ่น และสิวยังสร้างความรู้สึกกังวล ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง แม้การรักษาสิวควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผิวหนังอย่างเหมาะสม แต่ก็มีหลายคนเลือกวิธีซื้อยามารักษาสิวด้วยตัวเอง ทั้งที่การใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือไม่เหมาะสมกับอาการ จะส่งผลให้ร่างกายเรามีความเสี่ยงได้รับอันตรายจากฤทธิ์ยา
“คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับยารักษาสิวซึ่งมีหลากชนิด หลายรูปแบบในท้องตลาด รวมถึงมีการออกฤทธิ์และความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายที่แตกต่างกันไป
สำหรับผู้ที่มีสิวไม่อักเสบหรือมีสิวอักเสบเล็กน้อย นิยมใช้ยาในรูปแบบทา โดยยาทาที่พบบ่อย ได้แก่
1. ยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาบางๆ ทั่วใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิว วันละ 1-2 ครั้ง อาทิ ยา Benzoyl Peroxide, Adapalene, Retinoic Acid ซึ่งมีผลข้างเคียง คือระคายเคืองผิวหนัง ผิวลอก แสบผิว ทั้งนี้ ยา Retinoic Acid จะทำให้มีสิวเห่อมากขึ้นเล็กน้อยในช่วงแรกที่เริ่มใช้ยา แต่อาการข้างเคียงแก้ไขได้ด้วยการลดความเข้มข้นหรือลดระยะเวลาที่ทา ขณะเดียวกัน มีคำแนะนำแก่ผู้ใช้ยากลุ่มนี้ให้หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือให้ทาผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย นอกจากนี้ ยา Retinoic Acid ยังมีข้อห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์

2. ยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ รูปแบบโลชั่นและเจล ตัวยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้รักษาสิว ได้แก่ Clindamycin และ Erythromycin ใช้ทาเฉพาะบริเวณที่มีสิวอักเสบ วันละ 2-3 ครั้ง โดยมีผลข้างเคียง คือ ผิวลอก ผิวบาง แสบผิว ในทางปฏิบัตินิยมใช้ยาทาปฏิชีวนะควบคู่กับยา Benzoyl Peroxide เพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา
สำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบหรือสิวตุ่มหนองจำนวนมาก อาจมีการใช้ยารับประทานร่วมด้วย ซึ่งตัวอย่างยารับประทาน ได้แก่
1. ยารับประทานที่เป็นยาปฏิชีวนะ มักต้องใช้ยานานหลายสัปดาห์ จึงจะมีประสิทธิภาพในการลดเชื้อแบคทีเรียก่อสิว โดยยาที่มีจำหน่าย ได้แก่ Tetracycline และ Doxycycline แนะนำให้รับประทานหลังอาหาร เพราะมีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้อาเจียน และอาจทำให้ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย อีกทั้งควรห่างจากการดื่มนม การรับประทานแคลเซียมและวิตามินที่มีธาตุเหล็ก เนื่องจากทำให้การดูดซึมของยาลดลง รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าว
2. ยารับประทานอื่นๆ มักใช้ในผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงเป็นจำนวนมาก ตัวยาที่มีจำหน่าย ได้แก่ Isotretinoin ควรรับประทานหลังอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อทารก ดังนั้น สตรีที่ต้องการใช้ยานี้ต้องคุมกำเนิดตลอดการใช้ยาและอยู่ในการดูแลของแพทย์ สำหรับผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ผิวแห้ง ปากลอก ผมร่วง ตาแห้ง ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดควบคู่กัน แต่หากมีอาการมองเห็นไม่ชัด หรืออาการตาแห้งรุนแรง ให้รีบมาพบแพทย์ทันที

3. ยารักษาสิวที่เป็นยาฮอร์โมนรวม หรือยาคุมกำเนิด เนื่องจากฮอร์โมนเพศเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลให้เกิดสิวได้ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนี้นิยมใช้ในสตรีที่มีสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ส่วนผลข้างเคียงที่พบ มีทั้งคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เลือดออกกะปริดกะปรอย อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
เพื่อให้การรักษาสิวด้วยยาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมา เราควรปฏิบัติดูแลทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเกิดการสิว อาทิ ความเครียด การสัมผัส แกะหรือเกาใบหน้า.