อาการก่อนที่จะมีประจำเดือนของผู้หญิง หรือ PMS ย่อมาจาก Premenstrual Syndrome ซึ่งผู้หญิงไทยในวัยเจริญพันธุ์ พบว่ามีอาการ PMS ได้มากถึงร้อยละ 20-40

สาเหตุของ PMS ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง คือ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progestrrone) และเอสโตรเจน (Estrogen) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองเซโรโทนิน (Serotonin) ช่วงหลังไข่ตก (ในสตรี วัยเจริญพันธุ์จะมีประจำเดือนทุก 28-30 วัน การตกไข่จะเกิดขึ้น 2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนครั้งถัดไป และบ่อยครั้งก็มีประจำ เดือนได้โดยไม่มีการตกไข่)

โดยอาการ PMS อาจจะมีอาการหรือความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยจะเกิดขึ้นเป็นประจำก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการที่พบบ่อย เช่น ปวดท้อง ปวดเมื่อยหลัง ปวดศีรษะ ท้องอืด ถ่ายเหลว มีสิว หงุดหงิด โกรธง่าย อารมณ์แปรปรวน เครียด และวิตกกังวล เป็นต้น ซึ่งอาการพวกนี้จะหายไปเองหลังประจำเดือนมา 2-3 วัน แต่ในบางราย อาจจะมีอาการรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

หากใครไม่อยากเจออาการท้องเสียก่อนมีประจำเดือน ลองมาดู 6 วิธีป้องกัน

1.กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นกินอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช รวมถึงอาหารที่มีรสจืด

2.หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อเป็นการกระตุ้นสารแห่งความสุข พร้อมทั้งช่วยลดความเครียดลงด้วย

3.ให้ความสำคัญกับการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนหลับถือเป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้เร็วที่สุด

4.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด เพราะในช่วงมีประจำเดือนนั้น อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมักส่งผลให้เกิดความเครียดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรลดปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น

5.เลือกกินอาหารจำพวกวิตามินบี6 วิตามินอี แมกนีเซียม และแคลเซียม ซึ่งอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่แพทย์แนะนำให้กินก่อนมีประจำเดือน

6.ใช้ฮอร์โมนเพื่อลดอาการ PMS อย่างเช่นยาคุมกำเนิด ซึ่งจะช่วยปรับฮอร์โมนเพศให้มีความสมดุล แต่แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ฮอร์โมนลดอาการ PMS เพื่อความปลอดภัย

เมื่อสาวๆ ได้ทราบถึงต้นตออาการท้องเสีย ท้องผูก รวมถึงมีอาการ PMS ก่อนมีประจำเดือนกันแล้ว ลองนำ 6 วิธีป้องกันไปปรับใช้ นับเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดี.