จากกรณีข่าว “สนามบินอิสตันบูล” ประเทศตุรกี ตรวจยึด “ลูกกอริลลา” สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ถูกขังอยู่ภายในลังไม้ขนาดเล็ก หลังมีผู้โดยสารลักลอบนำเข้า เที่ยวบินจากประเทศไนจีเรีย โดยมีปลายทางไปยังกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งหลังจากข่าวถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ทำให้มีหลายคนให้ความสนใจล้นหลาม ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ขณะที่ด้าน ศุภณัฐ เบญจดำรงกิจ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006 ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กพูดถึงประเด็นดังกล่าว ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า

“การลักลอบล่าสัตว์ อาชญากรรมระดับโลก” ตั้งแต่การพบเจอลูกลิงกอริลลาที่ราบต่ำตะวันตกในลังสินค้าแคบ ๆ ที่สนามบินนานาชาติประเทศตุรกี ซึ่งต้นทางมาจากประเทศไนจีเรีย กำลังมุ่งหน้าไปปลายทางที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก ถือว่าเป็นการลักลอบล่าสัตว์หรือ “Poaching” หรือที่เราเรียก ๆ กันในภาษาชาวบ้านก็ “พรานเถื่อน” (Poacher) ซึ่งเป็นอาชญากรระดับโลกที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายที่ทั่วโลก และภัยคุกคามระดับชาติ

การลักลอบล่าสัตว์นั้นที่เราเห็นผ่านสื่อกันบ่อย ๆ มีทั้งงาช้างและนอแรดผิดกฎหมาย อวัยวะสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่จะถูกนำไปทำยาแผนจีนโบราณและเครื่องประดับ รวมไปถึงการลักลอบนำสัตว์ป่าเป็น ๆ ผ่านเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและผิดจรรยาบรรณในปริมาณมาก ๆ ซึ่งขึ้นกับจำนวนออร์เดอร์เสมือนสินค้า อย่างข่าวการลักลอบขนลีเมอร์และเต่าจากมาดากัสการ์ โดยพ่อค้าเถื่อนจากอินโดนีเซีย ที่ส่งออร์เดอร์ให้ใครบางคนในไทย จำนวนกว่า 900 ตัว

การลักลอบล่าสัตว์นั้นแตกต่างจากการล่าปกติหรือล่าเพื่อกีฬา เสมือนคนกดออร์เดอร์ Art toy ตัวฮิตหลายตัว ผู้ว่าจ้างต้องการเท่าไรก็จะจ้างคนพื้นถิ่นลงมือจัดการเอง อยากได้งาช้างแอฟริกา 50 คู่ ก็ต้องล่าช้างทั้งหมดโขลงใหญ่รวมทั้งช้างวัยอ่อนที่งาเล็กก็เอาด้วย หรืออยากได้เกล็ดผิวของตัวนิ่ม 40 ตัว เอาไปทำซุปเกล็ดตัวนิ่มกระป๋องส่งขาย 500 กระป๋อง พวกเขาก็จะเอาปริมาณโดยไม่สนว่าสัตว์จะอยู่หรือตายแล้ว

ซึ่งรูปแบบการล่านี้ ทำให้สัตว์ป่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์รวดเร็วกว่าการล่าปกติ หรือการล่าเพื่อกีฬาเสียอีก ลองนึกสภาพนายพรานกีฬายิงช้าง 1 ตัว ยังแค่ช่วยคุมประชากรบางที่ แต่พรานเถื่อนที่ลักลอบล่าสัตว์จะทำให้ช้างหายไปจากพื้นที่นานเกือบ 10 ปีเลย เพราะไม่เหลือประชากรช้างมารักษาระบบนิเวศนั้น ๆ

ในอดีตช่วงราวต้นปี 2000 การลักลอบล่าสัตว์นั้นแพร่ไปทั่วมากกว่า 80% ของทุกประเทศในโลก ประเทศไทยเองก็ถูกตีตราในสายตานานาชาติว่าเป็นตลาดมืดค้างาช้างแอฟริกา และสัตว์ตัวเป็น ๆ หลายชนิดเข้ามาอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว ในปี 2012 กรมอุทยานและหน่วยงานอนุรักษ์เกี่ยวข้องได้เพิ่มช้างแอฟริกาสะวันนา เข้าไปในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง เพื่อป้องกันการค้างาช้างในประเทศไทย

แม้จะมีการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล ที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบค้างาช้างและนอแรดได้หลายคนในฝั่งจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็มีผู้มาใหม่เรื่อย ๆ และการกระทำก็ค่อนข้างกินเส้นพวกคนทำหน้าที่อย่างผู้รักษากฎหมาย และข้าราชการมีอิทธิพลในการปกปิดข้อมูลการนำเข้าสัตว์หรือชิ้นส่วนอวัยวะสัตว์ด้วย

แม้ทุกวันนี้การลักลอบล่าสัตว์จะยังไม่หมดไป แต่เราก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ยอมรับว่า ผู้มีอิทธิพลบางคนที่เป็นนักธุรกิจเคยบอกบิวคุงว่า ต่อให้มีปากพูดก็ไม่มีใครฟังหรอก หากมีเงินนั่นแหละเขาฟังแน่นอน คำพูดแบบนี้มันฟังแล้วจี้ใจดำ แต่คนธรรมดาทั่วไปทำได้เพียงแค่แจ้งเบาะแสการพบเห็นการลักลอบล่า หรือค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่ดูไร้จรรยาบรรณ แจ้งให้หน่วยงานกรมอุทยานหรือหน่วยงาน CITES รับทราบการลักลอบ

ท้ายสุด การลักลอบล่าสัตว์นั้นถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมและไร้ความเป็นมนุษย์ ที่กระทำต่อสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่กำลังจะหายไปจากรุ่นลูกรุ่นหลาน ถ้าหากชีวิตลูกลิงกอริลลาหนึ่งตัวเพื่อความร่ำรวย และมั่งคั่ง ๆ บารมีของคน ๆ เดียว มันไม่มีค่าเลยเท่ากับลิงกอริลลาในป่าที่จะส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้รู้จักและตระหนักการปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้! อย่าคิดว่าความรวยความแกลมที่ครอบครองทุกอย่างได้จะชนะเสมอไป

อย่านิ่งดูดาย แม้หลายคนบอกเราสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ผิดแล้วครับ เราสู้ได้ ขอแค่เป็นหูเป็นตากัน อย่าปล่อยให้การลักลอบล่าสัตว์ทำเพื่อเงิน แต่มันส่งผลเสียเป็นวงกว้างระดับโลก เลือกเอาว่าจะอยู่บนโลกที่ปราศจากช้างและกอริลลา แล้วเห็นแต่ตัวสตัฟฟ์ในพิพิธภัณฑ์กับตัวเป็นในสวนสัตว์ กับเห็นช้างและกอริลลาในธรรมชาติ คิดว่าอันไหนคู่ควรที่สุด ถ้าเลือกอันแรก เท่ากับว่าคุณไม่แคร์โลกนี้เลย ก็ไม่ควรเกิดให้รกโลกด้วยซ้ำ…

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : @Supanut Benjadumrongkit