จากข้อมูลการสำรวจพัฒนาการเด็กของกรมอนามัย เพื่อติดตามเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้เครื่องมือ Denver II ซึ่งเป็นเครื่องมือคัดกรองพัฒนาการเด็กมาตรฐานสากล พบว่า สถานการณ์ด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย (0-5 ปี) ในปี 2566 (ตุลาคม 2565- กันยายน 2566)เด็กปฐมวัยได้รับการคัดกรองพัฒนาการ (ความครอบคลุมในการคัดกรอง) เท่ากับ 82.1 % เด็กที่ติดตาม ได้ภายใน 30 วัน เท่ากับ 89.2 % เด็กมีพัฒนาการสงสัยล่าช้า 22.5 % ส่วนใหญ่เด็กมีพัฒนาการ ทางภาษาล่าช้า ทั้งการใช้ภาษาและการเข้าใจภาษา และจากผลการคัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัย ตลอด 5 ปี (2562-2566) พบว่าแนวโน้มพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าสูงขึ้นทุกปี ในปี 2566 พบเด็กมีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าด้านการเข้าใจภาษา (Receptive language) สูงถึง 60.9 % และพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าด้านการใช้ภาษา (Expressive language) สูงถึง 74.8 % ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ยิ่งเหลื่อมล้ำมากขึ้นในครอบครัวที่ยากจน เพราะยังมีเด็กไทยจำนวน 1.1 ล้านครัวเรือน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2561) ไม่มีหนังสือ (นิทาน) ให้อ่านภายในบ้าน ในสภาพความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและโอกาสทางสังคม การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ครอบครัวที่มีรายได้น้อยยิ่งมีโอกาสเข้าถึงหนังสือและกระบวนการเรียนรู้ยิ่งมีน้อยตามไปด้วย

จากงานวิจัยโครงการ “การติดตามประมวลผลการดำเนินโครงการสวัสดิการหนังสือ 3 เล่มในบ้าน” โดย ผศ.ดร.ฮารีซอล ขุนอินคีรี และ ผศ.ดร.สรินฎา ปุติ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สนับสนุนโดยแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ศึกษาข้อมูลจาก 642 ครอบครัว โดย“อ่านหนังสือให้ลูกฟัง” พบว่า เด็กในครอบครัวมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น มีความสนใจหนังสือมากขึ้น (รวมถึงรูปภาพ ตัวการ์ตูนในหนังสือ) มีความตั้งใจ และมีสมาธิ มากขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 30.4 รองลงมาคือ เด็กช่างสังเกต ช่างสงสัย ซักถามมากขึ้น มีจินตนาการ และรู้จักนำศัพท์ที่มีในหนังสือมาใช้ในการสนทนา รวมถึงเลียนแบบพฤติกรรมจากตัวละครในหนังสือ จึงนับเป็นเครื่องมือและกระบวนการสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ เมื่อรัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายและหนุนเสริมให้เกิดปฏิบัติการทางสังคม

แผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ได้ดำเนินการรณรงค์สนับสนุนนโยบายสวัสดิการหนังสือมาอย่างต่อเนื่องหลายปี อาทิ ผลักดันนโยบาย หนังสือ 3 เล่มในบ้านโดยได้มอบหนังสือ 3 เล่ม ให้กับแม่ตั้งครรภ์ หรือเด็กแรกเกิดในโรงพยาบาล/ชุมชน, การขับเคลื่อนผลักดันนโยบายสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัย, การร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ผลักดันสวัสดิการหนังสือ 3 เล่มในบ้านเด็กปฐมวัย เพื่อพัฒนาโมเดลนำไปสู่การบูรณาการการขับเคลื่อนภาพใหญ่ของประเทศ การเข้าร่วมสนับสนุนนโยบาย 3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม ด้วยการอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย เพื่อให้เกิดผลอย่างเร่งด่วนในการร่วมแก้ไขพัฒนาการล่าช้าด้านภาษาซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาการด้านอื่นๆ และในปี 2568 แผนงานฯ การอ่าน สสส. และเครือข่ายกว่า 200 ชุมชน ได้ร่วมปกป้องเด็กจากทอยพอด (Toy Pod) ที่ใช้การตลาดผลิตบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบตุ๊กตา ของเล่นที่มีกลิ่นหอม เพื่อเจาะตลาดกลุ่มเด็ก ซึ่งพบว่า มีเด็กอายุ 7-9 ขวบ ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้ว

นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า “แผนงานฯ รณรงค์ให้ครอบครัว คนในสังคม และกลไกเชิงนโยบายให้ความสำคัญกับการใช้หนังสือภาพ เพื่อพัฒนามิติด้านในและสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาวะของเด็ก จึงขอวิงวอนให้รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวที่มีลูกวัยเด็กเล็ก ได้เร่งประกาศนโยบายสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัย ให้เด็กๆ ได้มีหนังสือในบ้านเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านพัฒนาการการเรียนรู้ และทักษะทางภาษาของเด็ก ซึ่งปีนี้เห็นชัดว่าวิกฤติมากแล้ว นอกจากนั้นควรจัดบริการให้มีหนังสือที่มีคุณภาพตามวัยและมากพอในสถานพัฒนาเด็กเล็ก รวมถึงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลเด็กให้ใช้หนังสือได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพในการพัฒนา “พัฒนาการของเด็ก” รวมถึงป้องกันภัยที่คุกคามเด็กอย่างเช่น บุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ของขวัญวันเด็กให้กับเด็กๆ ทุกคนที่กำลังเติบโตเป็นพลเมืองที่จะพัฒนาบ้านเมืองในอนาคต”

ผู้สนใจชุดนิทานเตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า “เด็กปลอดพอด” 7 เล่ม ได้แก่ อีเล้งเค้งโค้ง พับปลอดพอด, หูไวตาไว, ชัยชนะของแมวน้อย, ขบวนการปราบทอยพอด, มาร์สแมนกับยายเช้า ตอนปราปปีศาจบุหรี่ไฟฟ้า, เด็กชายกับสหายผู้ปกป้อง และความลับของบริษัทดำมืด รวมถึงมีหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัยอีกหลายเล่มสามารถดาวน์โหลดและเปิดอ่านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่เว็บไซต์ www.happyreading.in.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เพจ “อ่านยกกำลังสุข” ฝ่ายสื่อสารรณรงค์ แผนฯ การอ่าน สสส. โทรศัพท์ : 080-259-0909