เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในวันที่ 22 ม.ค. 68 จะเป็นวันประวัติศาสตร์ไทยและโลก เนื่องจากประเทศไทยจะประกาศใช้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียม อย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่ออยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน นี่เป็นการแสดงความใจกว้างและยืดหยุ่นได้ของประเทศไทย ที่ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยเอามนุษย์เป็นหลัก ไม่ได้เอาเรื่องความคิดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นหลัก แต่มองในภาพรวมทั่วไปแบบที่เรียกว่ามนุษยนิยม

นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะดีขึ้นในแง่นี้ แต่สหรัฐอเมริกา ก็กำลังจะมีเรื่องปวดหัวใหม่ เพราะว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเวทีแล้วประณามเรื่อง LGBTQ+ อย่างชนิดที่เรียกว่าขนานใหญ่ โดยประกาศจะไปหยุดเรื่องหลักสูตรที่เกี่ยว LGBTQ+ ตั้งในระดับประถม และมัธยม ทั้งหมดในสหรัฐ คือจะไม่ยอมให้มีการเรียนการสอน และให้ไปอยู่ในที่เดิมที่บอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาด ไม่ใช่ของที่ถูกต้องหรือเป็นสิ่งที่ปกติธรรมดา โดยเขาใช้คำว่า LGBTQ ของฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นกลุ่มสังคมนิยมของประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ ความจริงแล้วมันเป็นกระบวนการทางสังคมธรรมดา 

“ทรัมป์ประกาศว่า LGBTQ+ เป็นพวกฝ่ายซ้าย เขาจะยุติให้หมด จะไม่ให้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของเขา คำพูดนี้ก็สร้างความกังวลพอสมควรกับบางคน ว่าเสียงทรัมป์ ทำให้ข่าวนั้นดังเป็นพิเศษ หลายคนเลยกลัวกันว่า สหรัฐจะเป็นประเทศนำทางกลับไปสู่ภาวะขวาจัด หรืออนุรักษนิยม โดยที่ไม่ได้ดูว่าโลกในความเป็นจริง มันดำเนินเปลี่ยนแปลงขั้นไหนแล้ว” นายจักรภพ กล่าว 

นายจักรภพ กล่าวด้วยว่า ทรัมป์มักจะเห่าดังกว่ากัด บางทีถ้าเขาพูดอะไรรุนแรง ก็เพื่อจะเอาใจฐานเสียงที่เป็นกลุ่มคนผิวขาว นิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งอยู่ใจกลางสหรัฐ แถบ เช่น แคนซัส มิสซูรี อาร์คันซอ เป็นต้น ซึ่งเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเป็นอเมริกันแท้ คนอื่นที่อพยพมาทีหลังเป็นอเมริกันเทียม สมควรที่จะไล่ออกไป หรือยุติการให้เคลื่อนเข้ามาในฐานะผู้อพยพเข้าประเทศ ซึ่งแนวความคิดที่แคบตรงนี้ แสดงให้เห็นถึงการเห็นแก่พวกตัวเองที่หน้าตาเหมือนกัน ลักษณะทางร่างกายเดียวกัน โดยไม่ได้ดูว่ามนุษย์มีความแตกต่างแค่ไหนในระดับโลก จึงเป็นที่มาของความรู้สึกต่อต้าน LGBTQ เขาจึงพูดเพื่อที่จะเอาใจคนกลุ่มนี้ ไม่คิดที่เขาจะทำรวดเร็ว หรือทำมากอย่างได้ประกาศไปในการต่อต้าน

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ขบวนการ LGBTQ+ ได้กลายเป็นขบวนการทางสังคมไปแล้ว จริงอยู่ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพียงความคิดของคนกลุ่มน้อย ที่พยายามจะมีสิทธิในสังคมเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ที่ยังมีอคติและต่อต้านอยู่  แต่ปัจจุบันประชามติเกือบทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศที่บอกว่า LGBTQ+ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา สังคมก็ตอบรับกันมากมายในหลายๆ ประเทศที่มีศาสนาคอยห้ามอยู่ แต่สังคมเขาจะเดินไปข้างหน้าด้วยความเป็นเสรี ดังนั้นการที่ทรัมป์ ออกมาพูดในคราวนี้ เขาแค่แสดงให้คนทึ่ง ว่าเขาสามารถที่จะพูดสวนทางกับกระแสสังคมในขณะนี้ได้ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเฉพาะกลุ่มเฉพาะด้าน แต่ผลที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้น ตราบใดที่เรายังต่อสู้กันอยู่ ทั้งคนที่เป็น LGBTQ+ และคนที่ไม่ได้เป็น ก็ยังเห็นใจ เข้าใจ และอยากร่วมโลกด้วยกันในฐานะมนุษย์ที่มีความสงบสันติอยู่ภายในใจ

“ถ้าเราช่วยกันแบบนี้ กระแสความคิดแบบขวาจัดก็ชนะไม่ได้หรอกครับ การแสดงออกของเขาก็เป็นเรื่องของคนที่อยากจะหมุนนาฬิกาทวนเข็มย้อนไปด้านหลัง เช่นเดียวกับเรื่องต่าง ๆ เท่านั้นเอง แต่โลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งพุทธศาสนิกชน ที่ไม่มีอะไรต่อต้านเรื่อง LGBTQ+ ก็ยังมีหลักธรรมที่ชัดเจนว่า ทั้งหมดนี้มันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป เราอยู่ในปัจจุบันก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเห็นถึงอนาคตที่จะมาต่อไปด้วย นี่คือการอยู่ในโลกกับการมีทรรศนะแบบรอบคอบ ไม่เสี่ยงอันตราย และไม่สร้างความขัดแย้งที่จะนำไปสู่มาสงคราม แต่อย่างว่าแหละครับ ถ้ากลัวว่าทรัมป์จะมาสร้างบรรยากาศไม่ดีมาก ๆ ก็ให้นึกไว้ว่า เห่าแล้วไม่กัด หรือเห่าดัง แต่ไม่กัดแรง เอาไว้เท่านั้นเอง” นายจักรภพ กล่าวทิ้งท้าย