จากรายงานผลประกอบของไตรมาสล่าสุดของสตาร์บัคส์ ปรากฏว่าบริษัทไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ประเมินไว้ เพราะยอดขายจากสาขาเดิมตกลงในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เมื่อโควิด-19 กลับมาระบาดอีกรอบในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของสตาร์บัคส์ ทำให้ต้องปิดร้านในเมืองใหญ่หลายเมืองตามมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่เพื่อลดการแพร่กระจายของไวรัสเดลตาสายพันธุ์ใหม่

แฟรนไชส์ร้านกาแฟดังแสดงผลการเปรียบเทียบยอดขายไตรมาสที่ 4 ของบริษัทในจีนซึ่งลดลง 7% พลาดจากเป้าหมายที่คาดการเติบโตไว้ล่วงหน้า แต่ยังโชคดีที่ได้ผลประกอบการของร้านสาขาในสหรัฐที่พุ่งสูงถึง 22% มาชดเชย ขณะที่หุ้นของบริษัทตกลงกว่า 4% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการของตลาด

อย่างไรก็ตาม เควิน จอห์นสัน ซีอีโอของบริษัท ยืนว่า ราคาที่สูงขึ้น ค่าแรงที่สูงขึ้น การพัฒนาหน่วยใหม่ ระบบอัตโนมัติในร้านค้า อุปกรณ์ทำอาหารที่ทำงานเร็วขึ้น และการลงทุนอื่น ๆ จะช่วยให้บริษัทเอาชนะคู่แข่งและผลักดันอัตรากำไรจากการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายที่ 18-19% ในปีงบประมาณที่ 2566

บริษัทยังยืนยันว่าจะเปิดร้านใหม่อีก 2,000 สาขาทั่วโลกในปีงบประมาณ 2565 จากเดิมที่เปิดร้านไป 1,173 ร้านในปี 2564 ซึ่งราว 75% ของร้านเหล่านี้ เป็นสาขานอกสหรัฐอเมริกา

จอห์นสันไม่ตอบคำถามว่าสตาร์บัคส์จะขึ้นราคาเครื่องดื่มเมนูใดโดยเฉพาะหรือไม่ แต่เขากล่าวว่า บริษัทกำลังจะขึ้นราคาในระดับที่ยอมรับได้ในสภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะลงทุนเรื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ระบบเตาอุ่นอาหารและระบบเครื่องดื่มสกัดเย็น เพื่อให้พนักงานทำงานได้เร็วขึ้นและมีเวลาไปดูแลส่วนอื่น ๆ

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สตาร์บัคส์กล่าวว่า จะขึ้นค่าจ้างให้พนักงานในสหรัฐ พร้อมด้วยระยะการว่าจ้างงานอย่างน้อย 2 ปี และมีโบนัสพิเศษสำหรับพนักงานที่แนะนำคนให้มาสมัครงานกับบริษัท เนื่องจากกำลังมีปัญหาขาดแคลนพนักงานทั่วประเทศ นอกเหนือไปจากเลื่อนเวลาปิดทำการบางสาขาให้เร็วขึ้น เพื่อโยกพนักงานไปทำที่สาขาอื่น

นักวิเคราะห์กล่าวว่าแรงกดดันในจีนเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เพราะมีการผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ และสตาร์บัคส์เริ่มเปิดสาขาเพิ่มขึ้นในตลาดใหญ่อันดับสองของโลก เพื่อกระตุ้นการเติบโต บริษัทยังให้คำมั่นว่าจะมีการซื้อหุ้นคืนและเงินปันผลมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 663,490 ล้านบาท) ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ยอดขายเชิงเปรียบเทียบทั่วโลกของสตาร์บัคส์เพิ่มขึ้น 17% ในไตรมาสที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 ต.ค. เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตราว 18.5% ตามข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยีการเงินและการจัดการความเสี่ยง Refinitiv IBES ส่วนมูลค่าหุ้นหลังปรับปรุงแล้วของสตาร์บัคส์เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์สหรัฐ เกินจากที่ตลาดคาดไว้เพียงเล็กน้อยที่ 99 เซ็นต์

เครดิตภาพ : Reuters