สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์เที่ยวบินเจ2-8243 ของสายการบินอาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ส ซึ่งใช้เครื่องบินโดยสารรุ่นเอ็มบราเออร์ อี190 พร้อมผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรือ 5 คน ตกใกล้กับเมืองอัคเตา ทางตะวันตกของคาซัคสถาน ระหว่างเดินทางจากกรุงบากู เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจาน ไปยังเมืองกรอซนี ทางตอนใต้ของรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาส
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศร่วมกันสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 ราย และรอดชีวิต 29 คน อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของอาเซอร์ไบจาน สื่อหลายแห่งในยุโรป สื่อของตุรกี และสื่อของสหรัฐ รวมถึงเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวในการสืบสวนสอบสวน และผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐ ว่าระบบขีปนาวุธ ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันภัยทางอากาศพิสัยใกล้แบบอัตตาจร “แพนต์เซอร์-เอส” ของรัสเซีย
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การโจมตีน่าจะเกิดขึ้น “โดยไม่เจตนา” จากการที่เครื่องบินเดินทางผ่านบริเวณซึ่งรัสเซียเคยตรวจพบกิจกรรมทางทหารของยูเครน และพบการตรวจสอบชิ้นส่วนเครื่องบินในเบื้องต้น ที่พบ “รูพรุน” จำนวนมาก ซึ่งน่าจะมาจากการถูกยิง
เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า เครื่องบินออกนอกเส้นทาง มีการวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นการที่หอบังคับการของรัสเซียบอกให้นักบินนำเครื่องบินไปยังเมืองอัคเตา ทางตอนใต้ของคาซัคสถาน แต่มีคำถามตามมาเช่นกัน ว่าแล้วเพราะเหตุใด รัสเซียจึงไม่ปิดน่านฟ้า หากมีการทำกิจกรรมทางทหารอยู่
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐบาลอาเซอร์ไบจานกำลังพยายาม “ไม่สามารถความขุ่นเคืองใจ” ให้กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาเซอร์ไบจาน “คาดหวัง” การขอโทษอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลมอสโก
ด้านนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า “เป็นเรื่องผิดที่จะตั้งข้อสังเกต หรือสมมุติฐานใดก็ตามตั้งแต่ตอนนี้ ทั้งที่ยังไม่มีการสรุปอย่างเป็นทางการ” และผู้นำรัสเซียมีความเสียใจอย่างสูงสุดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีชาวรัสเซียเสียชีวิตด้วย และสนทนาเรื่องนี้โดยตรงกับประธานาธิบดีอิลฮาม อาลิเยฟ ผู้นำอาเซอร์ไบจานแล้ว.
เครดิตภาพ : AFP