เมื่อเข้าช่วงก่อนปีใหม่ สื่อมวลชนก็มักจะให้นักการเมืองที่มีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญประเมินสถานการณ์ทางการเมือง เสถียรภาพของรัฐบาล “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มองว่า “รัฐบาลชุดนี้มีเสถียรภาพสูง เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีรัฐบาลที่มีเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งเทียบเท่ากับรัฐบาลนี้ ยังไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะทำให้รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ ความร่วมมือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นไปได้ด้วยดี ปัญหาปลีกย่อยก็เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมาหาวิธีแก้ไข ไม่มีเรื่องใดที่ขัดแย้งกัน จนหาทางกลับไม่ได้”
ส่วนปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องชั้น 14 และม็อบทั้งของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เรื่อง MOU44 นั้น เสี่ยหนูมองว่า มันมีคำชี้แจงของฝ่ายที่ถูกพาดพิงออกมาแล้ว หากยังเป็นที่กังขาไม่น่าไว้วางใจ ก็ยังมีรัฐสภาที่เป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนที่มีข่าวพรรคภูมิใจไทย ขวางการทำงานของพรรคเพื่อไทย เช่นเรื่องประชามติหรือแก้รัฐธรรมนูญนั้น ยืนยันว่าเราไม่ได้ขวาง แค่แสดงจุดยืนและความเห็นในเรื่องที่ภูมิใจไทยเชื่อถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ภูมิใจไทยเคารพเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เราแพ้โหวตเรื่องใช้เสียง 2 ชั้นเราก็จบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลนี้ขาดพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่มีใครในโลกนี้ที่ขาดไม่ได้ เมื่อถึงเวลาต้องขาดก็ขาดกันได้ทั้งนั้น nothing is indispensable (ไม่มีอะไรที่ขาดกันไม่ได้) ครม. เป็นผู้เข้ามาบริหารประเทศ ในรัฐบาลผสม 5-6 พรรค ใครบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค จะไม่ฟังนายกรัฐมนตรี ก็มาร่วม ครม. ไม่ได้ ส่วนในสภา เป็นการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เรื่องประเด็นร้อนในพรรคเพื่อไทย อาทิ เรื่องชั้น 14 ดูจาก ครม. และแกนนำทางการเมือง ก็ไม่เห็นเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องพวกนี้ คนที่ทำงานอยู่ตอนนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ควรเกิดสิ่งที่อยู่นอกระบบ แต่ถ้าวันๆ เอาแต่หาเรื่องทะเลาะกัน ขัดขวางทุกเรื่อง พูดจาดูหมิ่นดูแคลน กระแทกแดกดันกัน ก็จะเพิ่มโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามาได้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวถึงข้อพิพาทเรื่องพื้นที่เขากระโดง ว่า นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เขายืนยันว่าไม่ใช่แบบที่ รฟท. อ้าง และได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว รวมถึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกาและศาลปกครองครบถ้วน จนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ดังนั้นจึงต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครอง หลังกรมที่ดินรายงานข้อสรุปของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมาตรา 61 ที่ไม่เพิกถอนที่ดินของชาวบ้าน ว่าศาลปกครองจะมีความเห็นอย่างไร
“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า แม้มีปรากฏการณ์ยกมือโหวตสวนของพรรคร่วมรัฐบาล แต่นี่เป็นรัฐบาลผสม ไม่ใช่รัฐบาลที่มีความเห็นเหมือนกันหากมีจุดหมายร่วมกัน คือต้องการให้ประเทศเดินหน้าเพราะเห็นปัญหามานานกว่า 10 ปี การเดินหน้างานจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่างดี อยากคุยแลกเปลี่ยนบอกความในใจในเรื่องเห็นเหมือนหรือต่าง สำหรับพรรคภูมิใจไทย ก็เห็นต่างกันได้ เพราะเป็นคนละพรรค
นายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี MOU 44 ที่อาจจะส่งผลให้มวลชนบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในปีหน้า ว่า ยังยึดหลักเดิมว่าควรใช้ความอดทนอดกลั้นและความเข้าใจ เรื่อง MOU44 รัฐบาลนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ที่แตกต่างจากรัฐบาลในอดีตทุกยุคทุกสมัย และยังไม่มีจุดเริ่มต้นถูกปลุกขึ้นมาโดยอะไรก็ไม่รู้ และกลายเป็นเรื่องใหญ่โต กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ รู้ดีที่สุด แถลงข่าวชัดเจน แต่กลับถูกจับมาเป็นประเด็นว่าทั้งเกาะกูดจะถูกยึด ทั้งที่ยังไม่เคยมีใครมาอ้างสิทธิว่าเกาะกูดเป็นของคนนั้นคนนี้

“มันเป็นแค่สัญญาที่ว่าอะไรที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ให้มีสองฝ่ายมาเจรจา มีเงื่อนไขสำคัญก็คือต้องเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ต้องเป็นเรื่องที่รัฐสภาสองฝ่ายเห็นพ้องตกลงกัน และเป็นเรื่องที่ต้องอิงหลักกฎหมายทั่วไป มันยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงสนธิสัญญาที่ตีกรอบให้เกิดการเจรจากันโดยสันติ แต่ว่าก็ปั่นกันไปจนไกลมาก จนจะออกนอกอวกาศอยู่แล้ว ผมคิดว่าไม่ใช่ประเด็น และขณะนี้ ที่ช้าก็เพราะว่ามีการรับฟังความเห็น“ นายภูมิธรรม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงคดีความต่างๆ ที่โดนร้องเรียนอยู่ในขณะนี้ จะทำให้รัฐบาลนี้อายุสั้นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่ทันทำอะไรเลยหรอคิดว่ารัฐบาลนี้ผิดแล้วหรือ สิ่งที่ร้องเรียนมาไม่มีความผิดก็เยอะ อย่าด่วนตัดสินใจและไปประเมินบนฐานที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไป จะผิดหรือไม่ก็มีทางทางออก สมมุติหากเกิดกรณีเช่นที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ต้องเผชิญกลไกของรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยก็ยังทำงานได้ พรรคเพื่อไทย ยังมีแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีรายคนที่ 3 (นายชัยเกษม นิติสิริ) ถ้าหากเราโชคร้ายและเกิดกระบวนการที่มีปัญหา แต่หากมองว่าคนที่ 3 ไม่เหมาะสม พรรคการเมืองต่อไป คนที่ 1-2 ก็ยังทำหน้าที่ต่อไปได้”
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวถึงกรณีมีรายงานว่า กระทรวงการคลังเตรียมนำเสนอร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในเดือน ม.ค. 2568 ว่า เป็นที่น่าจับตาสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงใด เพราะตามร่างฉบับเดิมที่กระทรวงการคลังนำมาใช้รับฟังความเห็นประชาชนนั้นมีช่องโหว่อยู่มาก ทั้งเรื่องความไม่ตรงปกของสถานบันเทิงครบวงจรที่เคยเสนอว่าจะทำแบบสิงคโปร์โมเดล แต่เอาเข้าจริงกฎหมายกลับไม่ได้เขียนอย่างนั้น มีการลดสเปกองค์ประกอบต่าง ๆ ของสถานบันเทิงครบวงจรทั้งหมด เช่น โรงแรมไม่ต้องห้าดาว ห้างสรรพสินค้า และอื่น ๆ ที่เคยขายฝันไว้ อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ และจะมีขนาดใดก็ได้ กฎหมายยังหลวม

“เน้นแต่กาสิโนเป็นสำคัญ โดยมีอีก 4 กิจการประกบและไม่เน้นขนาด คนไทยอาจสามารถเข้าเล่นได้ง่าย เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า การเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าของคนในประเทศเก็บได้สูงสุดไม่เกิน 5 พันบาท จึงอาจจะเก็บต่ำกว่านั้นหรือจะไม่เก็บเลยก็ได้ อีกทั้งไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพและไม่มีการตั้งกองทุนลดปัญหาและผลกระทบจากการพนันเพราะถูกตัดทิ้งไปทั้งหมด ไม่ชัดเจนว่าประเทศชาติจะได้ประโยชน์แค่ไหน
“สิ่งสำคัญคือเรื่องภาษี ซึ่งกฎหมายนี้ไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจน ให้บอร์ดนโยบายที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีอำนาจแทบทุกอย่าง ทั้งการอนุมัติที่ตั้งว่าจะให้ตั้งที่จังหวัดใด โดยไม่ต้องรับฟังความเห็นประชาชน จะให้ตั้งได้กี่แห่ง จะให้ใครเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต ไม่ต้องมีการประมูล รวมทั้งจะเก็บภาษีเท่าไรกฎหมายก็ไม่เขียนไว้อย่างชัดเจน ทั้งหมดล้วนอยู่ในอำนาจของบอร์ดนี้ จึงเหมือนเป็นการตีเช็คเปล่าให้คณะบุคคลคณะเดียวตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ” นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังอาจเกิดการอำนวยประโยชน์เอื้อให้กลุ่มผู้ลงทุน โดยเก็บภาษีในอัตราต่ำ ให้ถือใบอนุญาตได้ยาวถึง 30 ปี เพิ่มเดิมที่สภาผู้แทนราษฎรเคยเสนอไว้ที่ 20 ปี และสามารถลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคแก่การทำธุรกิจให้เหลือน้อย โดยให้อำนาจบอร์ดนโยบายในการเสนอแก้ไขกฎหมาย และกฎกระทรวงต่าง ๆ ได้ รวมถึงการให้เช่าที่ดินโดยถือครองได้นานถึง 99 ปี เป็นต้น ซึ่งจะทำให้น่าห่วงเรื่องกลายเป็นที่ฟอกเงิน-คอร์รัปชั่น
น่าสนใจต้องรอดูตัวร่างที่ผ่าน ครม. จากนั้น สภาผู้แทนราษฎรจะปรับแก้อย่างไร
“ทีมข่าวการเมือง”