สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน พบหารือกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง นอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ “จี20” ที่กรุงโรม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยนับเป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ หลังสหรัฐ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย จับมือตั้งกลุ่ม “ออคัส” เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา และส่งผลให้รัฐบาลแคนเบอร์รายุติความร่วมมือเรื่องเรือดำน้ำกับรัฐบาลปารีส สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับมาครง


ทั้งนี้ ไบเดนเป็นฝ่ายกล่าวก่อนว่า สิ่งที่สหรัฐทำลงไปนั้น “เรียกได้ว่าเป็นความซุ่มซ่าม” และเป็นข้อตกลงที่ “ไม่ได้เกิดขึ้นตามหลักการเหมาะสม” ผู้นำสหรัฐยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านา เขานึกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลทั้งหมดให้ฝรั่งเศสรับทราบล่วงหน้าแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นไปตามนั้น ผู้นำสหรัฐกล่าวต่อไปว่า ฝรั่งเศสเป็น “หุ้นส่วนที่มีค่าอย่างยิ่ง” และ “มีอำนาจในตัวเอง”

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ทักทายกัน ระหว่างพบหารือกันที่กรุงโรม


ขณะที่มาครงกล่าวว่า การฟื้นฟูความเชื่อมั่นขึ้นอยู่กับการกระทำ “เป็นหลักสำคัญ” ไม่ใช่เพียงการใช้คำพูดสวยหรู เมื่อผู้สื่อข่าวซักถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับฝรั่งเศสกลับมาดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ มาครงตอบว่า “ขึ้นอยู่กับการกระทำร่วมกันนับจากนี้” อย่างไรก็ตาม ผู้นำทั้งสองฝ่ายแสดงภาษากาย “ในเชิงที่เป็นมิตรต่อกัน” และกล่าวว่า เป้าหมายของการพบกันครั้งนี้ คือการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือต่อต้านการก่อารร้ายในทวีปแอฟริกา


แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้นำฝรั่งเศสยังคงไม่พบหน้ากับนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ผู้นำออสเตรเลีย ซึ่งเข้าร่วมการประชุมจี20 ครั้งนี้เช่นกัน โดยใช้วิธีสนทนาทางโทรศัพท์แทน แถลงการณ์ของทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงปารีส ระบุว่า การตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวของออสเตรเลีย ในการยุติข้อตกลงเรื่องเรือดำน้ำกับฝรั่งเศส ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอย่างสิ้นเชิง


ทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับฝรั่งเศสนับจากนี้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของรัฐบาลแคนเบอร์รา ในการ “กำหนดนิยมใหม่” ให้กับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และการร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก.

เครดิตภาพ : REUTERS