วันที่ 14-15 ม.ค.นี้ จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่มีผู้ยื่นไว้ในระเบียบวาระ อย่างของพรรคประชาชน (ปชน.) จะให้แก้ไข ม.256 ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ต้องใช้เสียง สว. และเสนอหมวด 15/1 เรื่องการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ( ส.ส.ร.) จากการเลือกตั้ง โดยเลือกใช้เขตจังหวัด 100 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน

นางนันทนา นันทวโรภาส สว. เชื่อว่า หากร่างนี้จะผ่าน ต้องใช้เสียง สว.1 ใน 3 เมื่อดูจากทิศทางการลงมติ พ.ร.บ.ประชามติเชื่อมโยงกับ สส.พรรคภูมิใจไทย จะเห็นได้ว่ากลุ่ม สว.เสียงข้างมาก ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เล่นเกมยืดเยื้อในกระบวนการ เพราะฉะนั้น คาดหมายได้ว่าอาจจะไม่ได้เสียงสนับสนุนถึง 1 ใน 3

“เราไม่สามารถไปเจรจา หรือพูดคุยโน้มน้าวกลุ่ม สว.เสียงข้างมากได้ และเชื่อว่าทุกการลงมติหลังจากนี้ จะเป็นปึกแผ่น 150 เสียงขึ้นไป แม้ว่าพรรคเพื่อไทยเสนอร่างประกบเข้ามาก็ค่อนข้างยาก เพราะการลงมติของพรรคภูมิใจไทยประสานกับ สว.เสียงข้างมาก เหมือนไม่พยายามให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งระหว่างสองสภา แม้ร่างของพรรค ปชน.จะตัดอำนาจ สว.หลายอย่าง แต่นี่เป็นเรื่องของหลักการทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยแบบสากลและมีอารยะ การร่างรัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่ใช้กับคนทั้งประเทศ ควรเป็นกติกาที่สากลยอมรับได้ และเป็นประชาธิปไตยแบบไม่ซ่อนเร้น ขอให้นึกถึงประชาชนทั้งประเทศ” นางนันทนา กล่าว

สีสันอีกอย่างในเดือนนี้คือการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่ง “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะลงพื้นที่ช่วยหาเสียงในฐานะหัวหน้าพรรคครั้งแรก ช่วยนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครของพรรค ที่แข่งกับ “ขวัญ ศุภพานี โพธิ์สุ” บุตรสาว “ครูแก้ว ศุภชัย โพธิ์สุ” อดีต สส.ภูมิใจไทย ซึ่งดูท่าทางครูแก้ว “ไม่ค่อยเอนจอย”

“บรุ๊ค ดนุพร ปุณกันต์” สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายกฯอิ๊งค์ จะลงพื้นที่วันที่ 12 ม.ค.นี้ เบื้องต้นแจ้งมาว่า ไปที่ จ.นครพนม ที่เดียว เพราะนายกฯ ขอทำงานก่อน หากลงพื้นที่ช่วยหาเสียงมากเกินแล้วการทำงานในส่วนหัวหน้ารัฐบาลมีปัญหา ก็จะโดนตำหนิ ดังนั้นจึงต้องจัดสมดุลกัน หากเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติไม่มีเรื่องอะไร ก็มั่นใจว่าหากว่าง เสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุด นายกฯก็พร้อมจะลงไปช่วย หากจะทำผู้สมัครเตรียมตัว แล้วไม่ได้ลงไปช่วยหาเสียง ก็จะมีกระแสตีกลับว่านัดไม่มา เบี้ยว จึงขอดูโมเดลนี้ไปก่อนในช่วงนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือกรณีเมียนมาจับตัวลูกเรือไทย 4 คนที่รุกน่านน้ำไว้ตั้งแต่ปีก่อน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมเคยตั้งคำถามว่า 1.เรือประมงไทยรุกล้ำเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของเมียนมาหรือไม่ 2.หากรุกล้ำ การที่กองทัพพม่าใช้อาวุธยิงเรือประมง จนคนไทยเสียชีวิต เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุแห่งการป้องกันหรือไม่ ถ้าเกินกว่าเหตุ รัฐบาลและกองทัพไทย จะทำอย่างไร3.รัฐบาลช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ชาวประมงที่ถูกจับหรือไม่ อย่างไร

ทั้ง 3 คำถาม นายกฯ รมว.กลาโหมและ กองทัพ ใช้วิธีนิ่งเงียบ ไม่ตอบ ทั้งที่เป็นคำถามที่ง่าย แต่คงเกรงใจเมียนมาจึงเลือกที่จะไม่ตอบ วันที่ 4 ม.ค.เป็นวันที่คนไทยรอคอย เพราะ 1.นายกฯ พูดว่า หลังปีใหม่ เมียนมาจะปล่อยชาวประมงไทยทั้งหมด 2. รมว.กลาโหม พูดชัดกว่านั้น คือ พูดว่า วันที่ 4 ม.ค. 68 เมียนมาจะปล่อยคนไทยทั้งหมด

เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพูดอย่างนั้น ผมก็ต้องเชื่อว่าวันที่ 4 ม.ค. 68 คนไทยที่ถูกเมียนมาจับกุม จะได้กลับคืนสู่มาตุภูมิ ถ้าไม่ปล่อย ในวันที่ 5 ม.ค.นี้ ก็ขอให้ท่านนำดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง และช้าง 20 เชือกไปมอบให้รัฐบาลเมียนมาเถอะ สงสารคนไทย“

ความคืบหน้าล่าสุด พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)เดินทางไปจังหวัดเชียงราย รับตัวคนไทยที่ประสานให้เมียนปล่อยตัว จำนวนประมาณ 151 คน ณ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ในเวลา 13.00 น. คนไทยจำนวน 151 คน เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยถูกหลอกให้ไปทำงานเป็นคอลเซนเตอร์ และถูกเจ้าหน้าที่เมียนมาจับกุมถูกศาลตัดสินให้จำคุกมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว จึงได้รับอภัยโทษปล่อยตัว ส่วน 4 ลูกเรือประมงไทยยังไม่ได้รับการปล่อยตัว

วันที่ 23 ม.ค.ก็จะมีวาระใหญ่ในสังคมไทย คือ การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม หรือ พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2567 “เอก”จักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายก ควงแขน “ป๊อบ”สุไพรพล ช่วยชู คู่รัก เดินทางเข้าพบ “อดีตนายกฯแม้ว”ทักษิณ ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 3 ม.ค.เพื่อเรียนเชิญเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรส รับกฎหมาย พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ประเทศไทยจะประกาศใช้ในวันที่ 23 ม.ค.68

“ได้ขอคำปรึกษานายทักษิณเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสและการฉลองแต่งงานของเรา ในฐานะที่นายทักษิณเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในนามพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่ประกาศใช้ในวันที่ 23 ม.ค. ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศรักเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่ออยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน

การผลักดันสมรสเท่าเทียม เริ่มตั้งแต่เมื่อปี 44 ที่รัฐบาล นำโดยอดีตนายกฯทักษิณ เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสสังคมต่อต้าน ในปี 56 สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็มีผลักดันให้มีกฎหมายรองรับกลุ่ม LGBTQ+ อีกครั้ง จนได้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และจะประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นับเป็นการผลักดันต่อสู้อย่างยาวนานของพรรคเพื่อไทย ในการสร้างประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกจนประสบความสำเร็จในที่สุด” นายจักรภพ กล่าว

ก็ถือเป็นเรื่องดีๆ ด้านสิทธิมนุษยชน แต่ขออย่าให้เกิดเหตุกองเชียร์แต่ละฝั่งแย่งกันเคลมว่าผลงานใครแล้วกัน.

วันเดียวกัน “หัวหน้าตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค – Pirapan Salirathavibhaga” ตอนหนึ่งว่า ในปี 68 กฎหมายที่ร่างเสร็จแล้ว คือ กฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟ จะยกเลิกการขออนุญาตทุกรูปแบบโดยเปลี่ยนมาเป็นการติดตั้งได้ทันทีตามกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ( รอผ่านสภา )

“ผมจะร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง ประเทศเราไม่เคยมีสำรองน้ำมันของประเทศเลย ที่มีอยู่ก็เป็นการสำรองของภาคเอกชนเพื่อประโยชน์ทางการค้าเป็นหลักตามกฎหมายการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น และเก็บสำรองเพียงประมาณ 20-25 วัน แต่หลักเกณฑ์ของการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศต้องไม่ใช่เพื่อการค้าแต่เพื่อประโยชน์ของชาติ และต้องมีสำรองขั้นต่ำ 90 วัน

จะนำระบบนี้มาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนการเก็บเงินจากการซื้อขายน้ำมันที่ไล่เก็บจากประชาชนไปเข้ากองทุนน้ำมัน เป็นระบบเก็บเป็นน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันแทน ระบบนี้จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีอย่างน้อย 2.50 บาท ถึง 4 บาทกว่าๆ แล้วแต่ประเภทของน้ำมัน

“สิ่งที่ผมทำ จะมีคนที่เคยได้ประโยชน์กันมากว่า 50 ปีเป็นอย่างน้อยต้องเสียประโยชน์ ผมรู้ว่าผมจะต้องโดนวิชามารกระหน่ำ แต่ผมไม่กลัว ในช่วงสองสามเดือนก่อนสิ้นปี 67 ผมถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดตัวพรรคใหม่ทุนหนา ก็มีบัญชีอวตารเปิดใหม่พรึ่บเพื่อใช้ถล่มผมแบบไม่ยั้งมือ ปั้นข่าวว่าผมขัดแย้งกับนายกฯบ้างขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาลบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่จริง นายกฯ สนับสนุนการทำงานของผมตลอด การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานก็สำเร็จด้วยดีเพราะการสนับสนุนของนายกฯ”นายพีระพันธุ์ โพสต์

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา มีข่าวออกมาเรื่อยๆ ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ( รทสช.) จะแตก และ สส.จะไปอยู่พรรคใหม่ที่มี “ปลัดคนดัง” และทุนพลังงานหนุนหลัง หัวหน้าตุ๋ย จึงออกมาสยบข่าว พร้อมยืนยันไม่ขัดแย้งพรรคร่วมรัฐบาล.

“ทีมข่าวการเมือง”