เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในบริษัทผลิตเม็ดพลาสติก พื้นที่หมู่ที่ 3 ต.ท่าเสา อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จึงรีบประสานศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของ อบต.ท่าเสา, ทม.กระทุ่มแบน และพื้นที่ใกล้เคียง นำกำลังรถน้ำดับเพลิง 15 คันเข้าระงับเหตุ เมื่อไปถึงพบว่าสถานที่ดังกล่าวมีโกดังเก็บเม็ดพลาสติก มีเปลวเพลิงลุกไหม้เป็นวงกว้าง เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็สามารถควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดและสงบลงได้ แต่ก็ยังคงต้องมีการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันการปะทุของไฟอีกครั้ง

ทั้งนี้ ระหว่างเกิดเหตุ นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผวจ.สมุทรสาคร ลงพื้นที่มาควบคุมบัญชาการเหตุการณ์ พร้อมกับให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดับเพลิงทุกคน ภายหลังเปิดเผยว่า เหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันเข้าระงับเหตุได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เพลิงสงบลงได้ไม่ลุกลามไปยังโรงงานข้างเคียง และโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังจากนี้ก็จะให้ฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันการปะทุของเปลวไฟ ส่วนสาเหตุนั้นก็ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เรื่องของสิ่งแวดล้อมที่อาจจะมีผลกระทบต่อประชาชนได้มอบหมายให้ทางท้องถิ่นเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการควบคุมให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด

จากการสอบถาม รปภ.ที่อยู่ใกล้กับโรงงานที่เกิดเหตุเล่าให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้มีคนงานทำงานอยู่ด้านใน พอเกิดไฟไหม้ก็เห็นคนงานวิ่งออกมาเอาถังดับเพลิงเข้าไปฉีด แต่เอาไม่อยู่ เพลิงโหมลุกไหม้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว คนงานทั้งหมดจึงต้องรีบวิ่งหนีออกมา แล้วก็มีการประสานไปยังศูนย์ดับเพลิงฯ ให้เข้ามาช่วยระงับเหตุ

สำหรับโรงงานต้นเพลิงนั้น มีลักษณะเป็นอาคารโกดังชั้นเดียว ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ภายในเป็นสถานที่เก็บพลาสติกเก่าจำนวนมากเพื่อนำมารีไซเคิลแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก โดยในช่วงที่เกิดเหตุมีคนงานทำงานอยู่ด้านในเกือบ 10 คน โชคดีที่หนีออกมาได้ทั้งหมด ส่วนเพลิงที่โหมลุกไหม้อย่างรุนแรงได้ส่งผลทำให้อาคารโรงงานถูกเผาวอดทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีโรงงานข้างเคียงอีก 2 แห่งที่ตั้งอยู่ติดกันได้รับความเสียหายบางส่วน จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท.