ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งแรกในรอบปี 2568 ของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มากบารมีเหนือรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ได้เดินทางไปปราศรัยหาเสียงช่วย “นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” ภรรยานายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา คนสนิทนายทักษิณ และเป็นมารดาของ ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช หรือ โฮม สส.เชียงราย พรรค พท. ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้หมายเลข 2 ในนามพรรค พท. และต้องแข่งขันกับ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ.เชียงราย ที่ประกาศลงสมัครได้หมายเลข 1 ในนามอิสระ โดยปราศรัยถึง 3 เวทีในพื้นที่ 3 อำเภอด้วย

ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีและอุบลราชธานี ซึ่งนำมาสู่ชัยชนะของพรรคแกนนำรัฐบาล “นายทักษิณ” มีส่วนสำคัญ กับความสำเร็จที่เกิดขึ้น และคงมีอีกหลายสนามที่อดีตนายกฯ จะเดินทางไปช่วยหาเสียง แม้ว่าจะเป็นพี้นที่ที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย” (ภท.) สนับสนุนสมาชิกพรรคลงสมัคร เพราะเป้าหมายของ นายทักษิณ หวังจะใช้ประโยชน์จากการเมืองท้องถิ่น มาช่วยเสริมให้การเลือกตั้งระดับชาติประสบความสำเร็จ เพราะตั้งเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ 200 เสียง คำถามคือ การเดินทางไปช่วยหาเสียงการเลือกตั้งนายก อบจ. ในจังหวัดต่อไป เช่น ศรีสะเกษ นครพนม จะมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่

โดย “นายทักษิณ” ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ปีนี้รัฐบาลต้องทำงานหนัก 1. ยาเสพติด ต้องเอาให้เกลี้ยง 2. คอลเซ็นเตอร์ต้องเอาให้เกลี้ยง 3. การผูกขาดทุกรูปแบบต้องเอาให้หมด เพื่อให้พี่น้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตต่ำลง ทำรายได้ให้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในปี 68 ส่วนเรื่องการพนันออนไลน์นั้นมีคนเข้าไปเล่นมากมาย บางครั้งหลายล้านคนซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า คนเหล่านี้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีหรือไม่ ดังนั้นจึงถึงเวลาจะเอาสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมาบนดิน เพราะถ้าถูกกฎหมายจะเก็บภาษีได้ โกงไม่ได้ อายุต่ำกว่า 20 ปีเล่นไม่ได้ คนที่ติดงอมแงมก็ส่งให้หมอบำบัดได้

แต่ที่เป็นประเด็นและน่าจับตามองคือกระแสข่าว การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะหลายคนพุ่งเป้าไปที่กระทรวงพลังงาน ซึ่ง “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รสทช.) ดูแล ซึ่งมีข่าวก่อนหน้านั้น “นายทักษิณ” ไม่พอใจ ออกมาตำหนิระหว่าง การสัมมนาพรรค พท. มีบางคนไม่ยอมเข้าร่วมประชุม ครม. เพื่อรวมพิจารณาออก พ.ร.ก.อัตราภาษี พร้อมทั้งระบุว่า ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็ควรลาออกไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถาม นายทักษิณ ได้พูดคุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หรือไม่ อดีตนายกฯ ตอบว่า วันก่อนก็มานั่งคุยกัน คุยกับนายพีระพันธุ์ เรื่องไฟฟ้า ให้หาทางช่วยกัน เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ นายพีระพันธุ์ อาจถูกปรับออกจาก ครม. รอบนี้ นายทักษิณระบุว่า ไม่มี คุยกันรู้เรื่อง ไม่มีอะไรเลย นายพีระพันธุ์เป็นคนตั้งใจ รู้จักกันมานาน มีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ ยังเปรยเรื่องของการปรับ ครม. ในช่วงนี้ใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีเลย วันนั้นคุยกัน เขาบอกว่าพ่อ อิ๊งค์ ยังสบาย ๆ ถ้าทำงานกับ ครม.ชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ 994360_0-1280x854.jpg

ส่วนยังอยู่ยาวได้ใช่หรือไม่ นายทักษิณ ระบุว่า ยังไม่มีเหตุปัจจัย เท่ากับช่วยกลบกระแสข่าวปรับ ครม. หรือปรับ “นายพีระพันธ์ุ” พ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ก่อนหน้านั้นรองนายกฯ โพสต์ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า ไปปั้นข่าวว่าตนเองขัดแย้งกับนายกฯ บ้าง ขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาลบ้าง ทั้ง ๆ ที่ตนเองและทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐาไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย ทั้งสองท่านสนับสนุนการทำงานของผมตลอดมา เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลทั้งสิ้น ผลงานเรื่องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ก็สำเร็จด้วยดี เพราะการสนับสนุนทั้งสองท่าน ล่าสุดที่ท่านนายกฯ แพทองธารประกาศว่าจะทำลายทุนผูกขาด ท่านก็พูดจริง เพราะฉะนั้น ใครจะปั้นข่าวอะไรผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่การทำงานและประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเท่านั้น

โดยมีรายงานว่า นายทักษิณ จะเดินสายหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก อบจ. เดือน ม.ค. 2568 เช่น วันที่ 12 ม.ค. 2568 จ.ลำปาง วันที่ 18-20 ม.ค. 2568 นครพนม บึงกาฬ หนองคาย มหาสารคาม วันที่ 24-25 ม.ค. 2568 จ.ศรีสะเกษ

ส่วนประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ซึ่งพรรคประชาชน (ปชน.) ได้เตรียมเสนอแก้ไขมาตรา 256 เพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรธน. (ส.ส.ร.) มาร่าง รธน.ฉบับใหม่ โดยประธานรัฐสภาเตรียมจะบรรจุวาระในวันที่ 14-15 ม.ค. ซึ่งจับสัญญาณจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และ พรรค พท.ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อว่ามีแนวโน้มไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา โดย “นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์” สว. ให้ความเห็นถึงจุดยืนต่อร่างแก้ไข รธน. มาตรา 256 ของพรรค ปชน. ว่า หากการแก้ไขมาตรา 256 ไปแตะ (8) ซึ่งเกี่ยวกับหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงอำนาจขององค์กรอิสระ ส่วนตัวไม่เห็นด้วย และมองว่าต้องทําประชามติก่อน ทั้งนี้ยังเชื่อว่าจะขัดต่อ รธน.ด้วยซ้ำ ส่วนข้อกังวลจากคําวินิจฉัยของศาล รธน. หากจะแก้ รธน.ต้องทําประชามติก่อน ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัญหา เพราะคําวินิจฉัยที่ 4/2564 ยังไม่เกิดความชัดเจนว่าต้องทําประชามติกี่ครั้ง ส่วนจะต้องยื่นให้ศาล รธน.ตีความก่อนพิจารณากฎหมายหรือไม่นั้น มองว่าไม่จําเป็น รอเขาก่อน

ด้าน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ในที่ประชุมรัฐสภาช่วงกลางเดือน ม.ค. นี้ ว่า พรรค พท.เตรียมขอมติจากที่ประชุม สส. วันที่ 7 ม.ค. นี้ก่อนว่าจะเห็นชอบกับร่างแก้ไข รธน.ที่ฝ่ายกฎหมายของพรรค จัดทำไว้เสนอประกบกับร่างของพรรค ปชน.หรือไม่ ทั้งนี้ในร่างแก้ไข รธน.ของพรรค พท.นั้น ยึดสาระสำคัญ คือ ไม่แตะหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ รวมถึงมาตราที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจทุกมาตรา อีกทั้งต้องไม่แก้ไขในประเด็นที่อาจจะสร้างความแตกแยก ขัดแย้งในสังคม รวมถึงต้องคำนึงถึงประโยชน์ประชาชนและทำให้ประเทศเดินหน้าผาสุก

“…ร่างแก้ไข รธน.ของพรรค พท. มีความแตกต่างกับพรรค ปชน. ซึ่งเรายึดหลักการคือไม่กระทบกับคนส่วนใหญ่ รวมถึงไม่กระทบกับจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้นรายละเอียดแบบสุดโต่งไม่ต้องการให้เกิดขึ้น หากคิดว่าจะเอาแบบนั้น เชื่อว่าจะมีความขัดแย้ง สังคมแบ่งเป็นสองฝ่าย จะมีการชุมนุม ดังนั้น ในการทำตามสัญญาประชาคมเรื่องแก้ รธน. ต้องทำให้เป็นประโยชน์กับประชาชนไม่ใช่ยึดแต่เรื่องการเมืองเหนือสิ่งอื่นหรือยึดแต่ผลแพ้และชนะ…” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องของพรรค ปชน. ที่ต้องการให้นำร่างแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวดสภาร่าง รธน. (ส.ส.ร.)ขึ้นมาพิจารณาในวันที่ 14-15 ม.ค. นี้ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถสรุปได้แบบนั้น เพราะต้องหารือกับทุกฝ่าย ซึ่งมีพรรคร่วมรัฐบาล สว. ด้วย เพราะการทำงานร่วมกันต้องให้เกียรติกัน และหารือกันอย่างรอบคอบเพื่อให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย อีกทั้งการแก้ไข รธน.ต้องพึ่ง สว.ด้วย ดังนั้นจะฟันธงให้เป็นแบบที่ต้องการไม่ได้ ต้องหารือร่วมกัน

“…การจะเปลี่ยนแปลงต้องมีเวลาเริ่มต้น และปรับปรุงหลายปี การจะหักพร้าด้วยเข่านั้นไม่สำเร็จ จะหักทันทีทำไม่ได้ในประเทศนี้ ดังนั้นการจะไปสู่ยุคเปลี่ยนผ่านต้องมีระยะเวลา ทั้งนี้ต้องให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ไม่ใช่นำเรื่องแก้ไข รธน.มาสร้างความขัดแย้งให้บ้านเมือง…” นายวิสุทธิ์ กล่าว

สำหรับสาระสำคัญในการแก้ไข รธน.มาตรา 256 ของพรรค ปชน. นั้น หลักเกณฑ์การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม ที่กำหนดให้ใช้เสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ โดยตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป และแทนที่ด้วยเสียงเห็นชอบจาก สส.ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แทน

นอกจากนั้น ได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติก่อนการทูลเกล้าฯ ถวาย ในมาตรา 256 (8) ในกรณีเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตาม รธน. เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระ เรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้ รวมถึงได้แก้ไขความในมาตรา 256 (9) ที่กำหนดสิทธิให้ สส. สว. หรือสมาชิกทั้ง 2 สภารวมกันเข้าชื่อเพื่อยื่นต่อศาล รธน.ให้ชี้ว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นขัดต่อมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (8) เดิมใช้เกณฑ์เสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 แต่ได้ปรับลดเหลือ 1 ใน 5

ดูท่าทีของ สว. และพรรค พท. ซึ่งมีเสียงมากเป็นอันดับสอง คงไม่เห็นด้วยกับ เนื้อหาการแก้ไขของพรรค ปชน. ทั้งตัดเงื่อนไขที่ต้องใช้เสียงเห็นร่วมด้วยของ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ออกไป ได้ตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติก่อนการทูลเกล้าฯ ถวายในมาตรา 256 (8) ในกรณีเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตาม รธน. เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระ เรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้ เพราะเสี่ยงกับสร้างความขัดแย้ง และอาจทำให้กระบวนการแก้ไข รธน. ต้องล้มเหลวเหมือนในอดีต เท่ากับร่างแก้ รธน.ของพรรคสีส้มถูกลอยแพ.