“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ “เดลินิวส์” ถึงจุดยืนในการเดินหน้ารื้อระบบพลังงานที่ตัวเขาเองได้ย้ำในหลายๆครั้งว่า ภาคพลังงานไทยอยู่กันมาได้อย่างไรเป็น 50 ปี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการแก้ไข เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น คำว่า ปฏิรูปน่าจะน้อยไป แต่จะต้องรื้อ ลด ปลด สร้าง ใหม่ทั้งระบบ เรื่องนี้ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนให้กับหลายกลุ่ม และเกิดเสียงสะท้อนกลับมาที่ตัว “พีระพันธุ์” เอง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นการสร้างภาระ และผลกระทบให้ผู้ประกอบธุรกิจด้านพลังงาน!!!  

เรื่องนี้ “พีระพันธุ์” ตอบในทันทีว่า ที่ว่าอยู่กันมาอย่างไรแบบนี้ 50 ปี เชื่อหรือไม่ว่า 2522 ปี ของกระทรวงพลังงานนับแต่ก่อตั้งปี 2545 มีกฎหมายของตัวเองจริงๆ เพียงฉบับเดียว คือ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เพิ่งออกเมื่อปี 62 ที่เหลืออีก 3 ฉบับ ฉบับแรกคือกฎหมายปิโตรเลียม ออกมาตั้งแต่ปี 2514 ฉบับที่สองคือกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ออกมาตั้งแต่ปี 42 ฉบับที่สามคือ พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ออกตั้งแต่ปี 2543 ทั้ง 3 ฉบับนี้ ออกมาตั้งแต่ก่อนจะตั้งกระทรวงพลังงานปี 45 สรุปแล้ว 22 ปีที่ตั้งกระทรวงพลังงานมามีกฎหมายที่ออกโดยกระทรวงพลังงานจริงๆ กฎหมายทั้งหมดนี้ไม่มีฉบับไหนที่มีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองประชาชน พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ออกมาเมื่อ พ.ศ. 2543 มีแต่เรื่องของผู้ประกอบการ ทั้งๆ ที่บริบททางการค้าและภาวะค่าครองชีพหรือภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป

“เข้าใจว่า ดั้งเดิมตั้งใจจะให้การประกอบกิจการด้านโรงกลั่นและการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงลงหลักปักฐานได้ แต่วันนี้เลยจุดนั้นไปแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีกฎหมายที่คุ้มครองประชาชนและให้การค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปด้วยความถูกต้อง แน่นอนพวกที่เป็นผู้ประกอบการอยู่กันมาแบบมา โกยกำไรมหาศาล จะคุ้มครองประชาชนย่อมส่งผลกระทบกับกำไรของพวกเขา แต่ถามว่าถึงเวลาหรือยังที่รัฐต้องหันกลับมาดูแลประชาชนบ้าง 50 กว่าปีที่ผ่านมาดูแลผู้ประกอบการฝ่ายเดียวตลอดมายังไม่เพียงพออีกหรือ การจะทำแบบนี้ได้ต้อง “รื้อ” ระบบกฎหมาย เพื่อ “ลด” ภาระประชาขน เพื่อ “ปลด” พันธนาการชีวิตจากระบบเดิม และเพื่อ “สร้าง” กติกาที่ถูกต้องและเป็นธรรมกับประชาชนผู้บริโภค ตามแนวทางและนโยบาย “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ของผม ซึ่งตรงกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งใจจะลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้”  

ส่วนเรื่องค่าไฟ  ผมขออธิบายให้เข้าใจตรงกันว่า การปรับลดค่าไฟฟ้าเหลือเฉลี่ย 4.15 บาทต่อหน่วย เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 นั้น ไม่ใช่ลดเพียง 3 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่อยู่ที่ราคา 4.18 บาทต่อหน่วย เหมือนที่คนที่ไม่เข้าใจพยายามจะสร้างกระแส ต้องเข้าใจก่อนว่าค่าไฟฟ้าต้องปรับทุก 4 เดือน ตามการผันแปรของราคาก๊าซในตลาดโลก ที่เรียกว่าค่า FT เพราะเราใช้ก๊าซเป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการ กกพ. ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน 

ดังนั้นค่าไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาจะมีผลเพียงแค่ 4 เดือนแล้วกลับไปปรับราคาใหม่ ที่ผ่านมาหนึ่งปีเต็มตลอดปี 2567 ผมบริหารจัดการกับผู้เกี่ยวข้องจนสามารถยันราคาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนไว้ที่หน่วยละ 4.18 บาท ทุก 4 เดือน ในความเป็นจริงการที่ยันราคาไว้ที่ 4.18 บาท ได้นั้น ไม่ใช่ยืนราคาเดิมนะครับ แต่ปรับจากราคาที่ กกพ. คิดว่าควรจะเป็นในแต่ละ 4 เดือนตลอดมา อย่างครั้งหลังสุดสำหรับช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 นี้ เดิมตัวเลขออกมาที่ 5.64 บาทต่อหน่วย ตกใจกันไปหมด!!!

ตอนนั้นผมไปประชุมที่ซาอุดีอาระเบีย พอกลับมาผมก็รีบบริหารจัดการแก้ไขปัญหาและขอความร่วมมือทั้งจาก กฟผ. และ ปตท. จนสามารถกลับมายืนราคาที่ 4.18 บาท ต่อหน่วยเช่นเดิม นี่ไม่ใช่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงนะครับแต่การที่บริหารจัดการให้อยู่ในราคาเดิมได้เท่ากับลดราคาลงไปจากที่ต้องเก็บจริงถึง 1.46 บาทต่อหน่วย เช่นกันครับ

สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน 2568 จำข่าวได้ไหมครับว่า จะต้องขึ้นไปที่ 5.49 บาทต่อหน่วย หลังจากการบริหารจัดการและความร่วมมือจาก กฟผ. และ ปตท. ทำให้ยังยันราคาไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย แต่ผมขอให้ กฟผ. และ ปตท. ช่วยกันดูว่าจะปรับลดเพิ่มได้อีกเท่าไหร่หรือไม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน สุดท้ายได้ที่ราคา 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปรับลดไป 1.34 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่ 3 สตางค์แบบที่พยายามปั่นกันครับ ซึ่งราคานี้ กฟผ. ยังคงมีเงินเหลือไปใช้คืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงที่ กฟผ.รับภาระแทนพี่น้องประชาชนไปก่อนหน้านี้ได้เป็นจำนวน 13,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ กฟผ. และ ปตท. รับได้ และไม่กระทบความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าหลักของประเทศ

อยากทราบสาเหตุของการที่ช่วงนี้หลายโครงการถูกสั่งทบทวน สั่งระงับ ไม่ว่าจะเป็นการระงับการจัดซื้อจัดจ้างการขุดและขนลิกไนต์ด้วยวิธีพิเศษมูลค่า 7,250 ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การระงับกระบวนการสรรหาคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การระงับการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเฟสสองจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ เป็นห่วงหรือไม่ว่า เรื่องนี้จะกระทบต่อค่าไฟ ทำให้การดำเนินการของกกพ.ชะงัก หรือส่งผลกระทบต่อการจัดหาไฟฟ้าสะอาดที่ไม่เพียงพอและไม่ทันการณ์

คำตอบง่ายมากครับ คือทุกเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไล่ๆ กันในช่วงนี้ ก็เท่านั้น ไม่ใช่เกิดมานานแล้วผมเพิ่งมาสั่ง เรื่องความจำเป็นรีบเร่งนั้นเข้าใจแต่ความรีบเร่งไม่ใช่ว่าทำให้สามารถทำอะไรที่อาจจะไม่ถูกต้องได้ กรณีของปัญหาการประมูลขุดถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ไม่ใช่เพิ่งจะทำ ทำกันมานานแล้ว ผมทราบเรื่องก็กำชับไปว่าให้ทำให้ถูกต้อง ผิดพลาดมามีการร้องเรียนแล้วจะส่งผลกระทบทำให้เกิดความล่าช้า ใครชนะใครแพ้ใครได้งาน ไม่ใช่เรื่องของผม แต่กระบวนการและขั้นตอนต้องถูกต้องโปร่งใส

ผมเข้าใจดีถึงสาเหตุและความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบในการดำเนินการของทุกหน่วยงาน แต่ความเร่งรีบมันต้องทำให้โปร่งใสด้วย สุดท้ายก็มีการร้องเรียนจริงๆ ถ้ากลัวความล่าช้าทำไมไม่ทำให้ถูกต้องโปร่งใสแต่แรกจะได้ไม่มีการร้องเรียน พอทำผิดพลาดมีการร้องเรียนมาอ้างความล่าช้า ผมเป็นรัฐมนตรีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องกำกับดูแลให้ กฟผ. ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและมีอำนาจสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ รัฐบาลมีนโยบายไม่ให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ เมื่อมีผู้ร้องเรียนผมไม่ดำเนินการผมก็มีความผิดเอง

ส่วนเรื่อง การสรรหากรรมการ กกพ. เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการ กกพ. พอดำเนินการไปมีการแจ้งมาว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบที่ใช้อยู่ก็ไม่สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งผมเคยกำชับให้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนก็ได้รับแจ้งว่าหารือแล้ว พอมีการแจ้งมาถึงความผิดพลาดสอบถามอีกทีบอกว่าไม่ได้สอบถามกฤษฎีกา อ้าว แล้วจะให้ผมทำอย่างไร

ขณะที่ เรื่องประมูลไฟฟ้าพลังงานสะอาด 3,600 เมกะวัตต์นั้น เป็นเรื่องเดิมตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ก่อนผมจะเป็นรัฐมนตรีพลังงาน กพช. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หลังจากที่ผมเป็นรัฐมนตรีก็ไม่เคยมีเรื่องนี้มาหารือกันในที่ประชุม กพช. เลย ทั้งผมและท่านนายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธาน กพช. ทั้งท่านเศรษฐา ทวีสิน และท่านแพทองธาร ชินวัตร จึงไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน

ต่อมาประมาณกลางปี 2567 ท่านปลัดกระทรวงพลังงาน และฝ่ายเลขาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ที่มีผมเป็นประธาน ซึ่งเป็นเหมือนคณะอนุกรรมการของ กพช. ก็นำเรื่องมาหารือกับผมว่าจะต้องมีการประมูลพลังงานไฟฟ้าสะอาด 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งเดิมกำหนดไว้ให้ผู้ที่เคยเข้าประมูลไฟฟ้าพลังงานสะอาดโครงการแรก 5,000 เมกะวัตต์ แต่ไม่ได้งาน ให้เป็นผู้มีสิทธิได้งานในส่วน 1,500 เมกะวัตต์นี้ ที่ควรจะเปิดประมูลใหม่มากกว่า ผมเห็นด้วยและให้นำเรื่องเข้าที่ประชุม กพช. แต่รับแจ้งว่า เรื่องนี้ทาง กพช. มอบอำนาจให้ กบง. ที่ผมเป็นประธานพิจารณาได้เลย

ผมจึงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม กบง. ต่อมาจึงทราบว่า 1,500 เมกะวัตต์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของ 3,600 เมกะวัตต์ ที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือ 2,100 เมกะวัตต์ กับ 1,500 เมกะวัตต์ โดยในส่วน 2,100 เมกะวัตต์นี้ คณะกรรมการ กพช. มีมติให้ กกพ. นำไปดำเนินการโดยให้สิทธิแก่ผู้ที่ไม่ได้งานในส่วน 5,000 เมกะวัตต์แรก ซึ่ง กกพ. ดำเนินการไประดับหนึ่งแล้วแต่ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการ ผมจึงเกิดข้อสงสัยว่าถ้า 1,500 เมกะวัตต์ กับ 2,100 เมกะวัตต์ มาจาก 3,600 เมกะวัตต์ เหมือนกัน ก็ควรกำหนดเงื่อนไขเหมือนกัน ในเมื่อ 1,500 เมกะวัตต์กำหนดใหม่ให้เปิดประมูลใหม่และส่วนของ 2,100 เมกะวัตต์ ยังไม่เสร็จสิ้น

ทำไมไม่แก้ไขให้หลักเกณฑ์เหมือนกัน และเหตุใดจึงต้องแบ่ง 3,600 เมกะวัตต์ เป็น 2,100 เมกะวัตต์ กับ 1,500 เมกะวัตต์ พยายามสอบถามทุกๆ ฝ่ายแต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ผมก็กำลังจะแก้ไขปัญหานี้ พอดีฝ่ายค้านถามกระทู้เรื่องนี้ ผมก็ไปตอบว่าผมกำลังดำเนินการอยู่ ก็มีคนทำหนังสือเปิดผนึกถึงท่านนายกฯ เพทองธาร ในเรื่องนี้ต่ออีก ท่านนายกฯ แพทองธาร ก็มาคุยกับผม และมอบให้ผมตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจะดำเนินการหรือแก้ไขปัญหาอย่างไร

ผมจึงมีหนังสือแจ้งไปทาง กกพ. ให้หยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน แม้อำนาจเต็มจะอยู่ที่ กพช. กับ กกพ. แต่ผมก็ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างก็เท่านั้น ต่อมาเมื่อทาง กกพ. เดินหน้า โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของ กพช. ที่มีท่านายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ท่านนายกฯ ก็หารือกับผมว่าท่านคิดว่าเรื่องนี้คงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงกันก่อน พอดีมีการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ท่านนายกฯ ก็บอกกับผมว่าท่านจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม กพช. ด้วย แต่ท่านเกิดติดภารกิจด่วน จึงมอบให้ผมทำหน้าที่ประธานที่ประชุม กพช. แทน และบอกให้ผมนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม กพช. เพื่อให้ทางการไฟฟ้าทั้งสามแห่งชะลอการทำสัญญารับซื้อไฟฟ้า 2,100 เมกะวัตต์ และให้หารือกฤษฎีกาถึงกรอบอำนาจของ กพช. ใบเรื่องนี้ เรื่องก็มีเท่านี้ 

สรุป คือเรื่องนี้เกิดมาก่อนรัฐบาลท่านเศรษฐาและท่านแพทองธาร แต่รัฐบาลปัจจุบันต้องรับผิดชอบทั้งๆ ที่ไม่รู้ความเป็นมาเลย ก็ต้องชะลอเรื่องและตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก้เดินหน้ากันต่อก็เท่านั้น 

– จริงหรือไม่ที่มีการพูดกันว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมนัดแรกมีการประชุมเครียด และมีความขัดแย้งกัน

ในการประชุม กพช. ทุกนัด ตั้งแต่สมัยรัฐบาลท่านนายกฯ เศรษฐา มาจนรัฐบาลท่านนายกฯ แพทองธารในปัจจุบัน ทั้งผม ทั้งท่านนายกฯเศรษฐา และท่านนายกฯ แพทองธาร ไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย หารือและเห็นสอดคล้องกันอย่างดีในทุกเรื่องตลอดมา ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกันเลย ท่านเลขาธิการนายกฯ ก็เป็นผู้ประสานงานและสรุปความเห็นในวาระประชุมต่างๆ อย่างดีตลอดมา แต่กลายเป็นว่าบางกลุ่มพยายามประโคมข่าวว่า ขัดแย้งกัน ด้วยวัตถุประสงค์ใดผมก็ไม่ทราบ ก่อนหน้าการประชุม กพช. ครั้งหลังสุดนี้ ท่านนายกฯ แพทองธาร เป็นประธานที่ประชุม ทั้งผมทั้งท่านนายกฯ แพทองธาร ก็ร่วมกันทำงานอย่างดี แต่หลังประชุมกลายเป็นว่าสื่อประโคมข่าวกันใหญ่โตว่าผมขัดแย้งกับท่านนายกในที่ประชุม ผมไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไร และสื่อมีวัตถุประสงค์เป้าหมายใด แต่ทั้งหมดไม่เป็นความจริง

– กรณีที่มีการระบุว่า รองนายกฯ พีระพันธุ์ เพิกเฉย ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาแหล่งพลังงานบนพื้นที่ทับซ้อน และกระบวนการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ระหว่างไทยและกัมพูชานั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

เรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริง ผมเป็นคนพูดอะไรตรงๆ เรื่องนี้เดิมท่านนายกฯ ไม่เคยมาหารืออะไรกับผม เพราะทุกรัฐบาลจะให้ทางกระทรวงการต่างประเทศนำหน้านักข่าวมาถามผมๆ ก็ตอบไปตรงๆ ว่าผมไม่ทราบเรื่อง เพราะผมไม่ได้ร่วมพูดคุยด้วย นักข่าวถามว่า ท่านนายกฯ ไม่ได้หารืออะไรหรือ ผมก็ตอบว่า ไม่มี เพราะไม่มีจริงๆ ผมพูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหน ไม่ใช่ว่าท่านนายกฯ ไม่ได้หารือเลย แต่ผมกลับให้สัมภาษณ์เป็นต่อยหอย อย่างนี้สิที่ไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นท่านภูมิธรรม เวชยชัย มาสอบถามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกับผมแบบพูดคุยกันทั่วๆ ไป ผมก็ให้ข้อมูลท่านไป แต่นักข่าวยังไม่ได้มาถามผมอีก ก็เท่านั้น บางกลุ่มพยายามจะให้มีเรื่องขัดแย้งกันตลอดเวลา ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร

หลายคนยังบ่นว่า เข้าไม่ถึงคุณพีระพันธุ์ เป็นบุคคลที่เข้าพบยาก

ไม่จริงเลยครับ เจ้าหน้าที่ข้าราชการทุกคนตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับปลัด ใครก็เข้าพบผมได้ตลอด แต่ผมไม่ออกงานสังคม และงานที่ไม่จำเป็น เพราะเวลาทำงานก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ใครจะขอพบผมถ้าเป็นเรื่องงานพบได้ตลอด แต่ถ้ามาพบแบบมาแสดงความยินดี เอาของมาฝาก หรือคุยโน่นนี้ทั่วไป ผมไม่มีเวลาให้เพราะผมต้องทำงาน อย่างที่บอกครับทุกวันนี้ก็แทบจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว

– อยากให้ฉายภาพให้เห็นถึงโครงการที่จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในปี 2568 ว่า มีอะไรบ้าง

ปี 2568 นี้ ผมวางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเสนอกำหมายสำคัญด้านน้ำมันและพลังงานโซลาร์เซลล์เข้าสภาให้ได้ แต่กระบวนการทำงานในระบบราชการและรัฐบาลช้ามาก ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายหลายขั้นตอน ในส่วนของกฎหมายที่จะอนุญาตให้ประชาชนใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือที่เรียกกันว่าโซลาร์เซลล์นั้น ผมร่างเสร็จแล้ว โดยมอบให้ท่านอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ช่วยดำเนินการยกร่างต้นฉบับและช่วยกันแก้ไขเสร็จแล้ว แต่ในส่วนของรัฐบาลต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ผมเลยให้เสนอกฎหมายนี้ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปก่อน เพราะบอกกับประชาชนไว้แล้วว่าจะนำเข้าสภาตอนปีใหม่

ส่วนกฎหมายสำคัญอีกฉบับหนึ่ง คือกฎหมายว่าด้วยการกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายนี้จะมีกติกาที่ไม่ให้ปรับราคาน้ำมันขึ้นลงรายวัน มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ โดยนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริงที่เรียกว่าระบบ COST PLUS มาใช้แทน ที่สำคัญคือ จะให้มีน้ำมันเพื่อเกษตรกร ชาวประมง ในราคาที่ถูกลง และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่งและองค์กรสาธารณกุศลสามารถนำน้ำมันเข้ามาใช้ได้เอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก และยังจะเปิดโอกาสให้รัฐสามารถจัดให้มีน้ำมันเพื่อผู้มีรายได้น้อยด้วย กฎหมายที่จะตามมาคือกฎหมายการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะนำมาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสร้างความมั่นคงให้ประเทศ

อีกอย่างหนึ่งคือ ผมกำลังเร่งผลิตอุปกรณ์สำหรับผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในราคาถูก ที่เรียกว่าอุปกรณ์ invertor ที่มีราคาแพงแต่เราน่าจะทำได้ในราคาเพียง 1 ใน 4 ของราคาจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายด้านนี้แล้ว ยังจะช่วยสร้างอาชีพใหม่เพราะกระทรวงพลังงานจะจัดอบรมผู้ที่จะรับติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ประชาชนไปประกอบอาชีพนี้ด้วย สุดท้ายคือจะหาระบบเงินทุนมาติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย นี่คือที่ผมตั้งเป้าไว้สำหรับปี 2568 ครับ ก่อนสรุปจบทิ้งท้าย “ผมเชื่อว่าถ้าเรายืนข้างประชาชน ประชาชนจะปกป้องเรา”

งานนี้ต้องจับตาเจ้าของฉายา “พีระพัง” ที่เจ้าตัวประกาศชัดว่า พร้อม “พัง” ทุกการผูกขาด “พัง” ระบบที่เน่าเฟะ “พัง” การโกงกินทุกรูปแบบ เพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน จะสามารถเดินหน้าได้ตามเป้าหมายจริงหรือไม่!!!