เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ในการพิจารณากระทู้ถามของนายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว. ถาม รมว.สาธารณสุข เรื่อง กรณีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการล้างไตสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง จะมีการทบทวนมติที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีมติให้ดำเนินการหรือไม่ และได้มีการหารือกับคณะกรรมการคณะต่างๆ หรือไม่ ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้นั้น
โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ชี้แจงว่า ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. โดยตำแหน่ง และ สปสช. รับผิดชอบ 30 บาทรักษาทุกที่ ดำเนินการครบถ้วนเมื่อ 1 ม.ค. 68 การใช้จ่ายงบประมาณของ สปสช. เกือบ 150,000 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใช้เงินเกี่ยวกับการรักษาเป็นหลักมานาน งบฯ ป้องกันประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนการฟอกไตใช้จ่าย 20,000-30,000 ล้านบาทต่อปี จึงหาวิธีที่จะประหยัด จึงหยิบยกการป้องกัน NCDs กินเป็นไม่ป่วย สวยหล่อ อายุยืน โดยได้แนวคิดตากการฟอกไตเพราะใช้เงินมาก ไม่ว่าจะฟอกทางไหน ใช้จ่ายมากทั้ง 2 ทาง

“ไม่ได้บังคับว่าต้องล้างไตผ่านช่องท้องเพียงอย่างเดียว แต่เป็นทางเลือกให้สามารถทำได้ 2-3 ทาง ทั้งการเปลี่ยนไตด้วย โดย สปสช. สนับสนุนทุกแนวทาง เท่าที่เข้าไปศึกษาในอดีต การล้างผ่านช่องท้องอันตราย แต่ล่าสุดไปดูสถิติตัวเลข ชีวิตน้อยลงแล้ว ที่ผ่านมา การไปล้างที่บ้านเอง เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้ศึกษาวิธีการที่ปลอดภัย จึงมีการสอนแนะนำในการดูแลซึ่งการฟอกไตผ่านช่องท้อง ส่วนการมาฟอกที่สถานพยาบาลเป็นปัญหาเรื่องการเดินทาง สัปดาห์ 2-4 ครั้ง แล้วแต่หนักเบา เป็นภาระของญาติ มีค่าใช้จ่ายเดินทาง แต่ทางเลือกฟอกที่บ้าน ผมดูแล้วสามารถดำเนินการได้” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนคำถามที่ถามว่า ได้มีการหารือกับคณะกรรมการคณะต่างๆ หรือไม่ ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้นั้น ยืนยันว่ามีคณะกรรมการ คณะทำงานหลายชุดที่ได้ร่วมกันศึกษาก่อนจะเข้ามาพิจารณาในบอร์ด สปสช. มีการดำเนินการมาหลายขั้นตอน และเป็นการให้ทางเลือก จึงมองว่าไม่เป็นปัญหา คนไข้สามารถเลือกแนวทางและวิธีการเดิมได้ ส่วนที่ระบุเรื่องการรับผลประโยชน์การซื้อน้ำยาฟอกไตนั้น ยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ เราทำงานซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แต่ถ้ามีข้อมูลสามารถปรึกษาหารือกันได้

จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้ตอบกระทู้ถามของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ถึงนโยบายการแก้ปัญหาโรคพยาธิใบไม้ในตับและมะเร็งท่อน้ำดี ว่า กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมกันดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2559-2568 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ครบ 70 ปี และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี 2559 มีการตั้งเป้าหมายทำให้ปลาในแหล่งน้ำมีพยาธิน้อยกว่าร้อยละ 1 และความชุกของผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับต่ำกว่าร้อยละ 1 และอัตราการตายด้วยมะเร็งท่อน้ำดีลดลงร้อยละ 50 ทั้งนี้ อัตราการติดพยาธิในปลาที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ลดลงเหลือร้อยละ 1.7 ในปี 2567 ซึ่งลดลง จากที่ในอดีตพบว่าปลาติดพยาธิสูงถึงร้อยละ 30-50 คน ติดพยาธิใบไม้ตับลดลงชัดเจน จากร้อยละ 16.3 เมื่อปี 2559 เหลือร้อยละ 3.57 ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมในความพยายามทุ่มเทแก้ปัญหาร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อเริ่มโครงการ
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีด้วยการอัตราซาวด์ช่องท้อง และบริการตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับ และมะเร็งท่อน้ำดี โดยวิธีการตรวจรูปแบบต่าง ๆ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณผ่านค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในรูปแบบค่าบริการเหมาจ่ายรายหัว โดย สปสช. และในปี 2567 กระทรวงสาธารณสุขได้มีการตรวจคัดกรองด้วยอุจจาระจำนวน 218,356 ราย และมีการเลือกตรวจด้วยปัสสาวะจำนวน 56,136 ราย สำหรับชุดตรวจโดยปัสสาวะ (OV-RDT) ยังจำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มเติมให้มีราคาที่เหมาะสม คุ้มค่า และตรวจคัดกรองได้ครอบคลุม เพราะให้ผลแตกต่างจากการตรวจโดยอุจจาระมาก ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองด้วยอุจจาระ.