ความน่าชวนหัวตลกร้ายเรื่องหนึ่งของกฎหมายสมรสเท่าเทียม (พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ปพพ.ฉบับที่ 24 ) คือ กองเชียร์ฝั่งส้ม-ฝั่งแดง แย่งกันเคลมว่าเป็นเครดิตใคร ฝั่งแดงเขาก็บอกว่า “อดีตนายกฯ แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร คิดไว้ตั้งแต่ปี 2544 แต่ตอนนั้นกระแสสังคมยังคัดค้านเลยต้องถอย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ดันต่อ
ทางฝั่งส้มเขาก็ว่า “กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิทางเพศนี้เกิดขึ้นได้ เพราะพรรคอนาคตใหม่เปิดตัว สส.เป็นกลุ่มหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ+) ที่ชัดเจนว่าเข้ามาเพื่อการผลักดันวาระเรื่องนี้ และเขาก็ทำอย่างเข้มแข็ง” สส.คนดังกล่าวคือ นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ หรือครูธัญ ครูสอน choreography คนดังในวงการบันเทิง ที่ตั้งใจผลักดันเรื่องนี้
สิ่งที่ฝั่งส้มเขาพูดกัน คือเชื่อว่า “ถ้าไปเอาตามฝั่งแดง กฎหมายจะไม่สมบูรณ์” เพราะในสายธารเวลาแห่งการยกร่างกฎหมายสมรสเพศเดียวกัน เดิมจะออกเป็น “พ.ร.บ.คู่ชีวิต” คือให้สิทธิคู่สมรสเพศเดียวกันจดทะเบียนได้ตามกฎหมายนี้ต่างหาก และสิทธิบางอย่างไม่ได้เท่าเทียมการสมรสตาม ปพพ. ทำให้มีกระแสต้านไม่เอาคู่ชีวิต
คนเคลื่อนไหวเรื่องนี้มานานบอกว่า “ที่ไม่เอาคู่ชีวิต เพราะตอนนั้น หน่วยงานยกร่างกฎหมายบอกให้รับไปก่อน ใช้ไปสักพักค่อยแก้ ฟังแล้วไม่น่าไว้ใจ เพราะคำนี้มันยังกะตอนทำประชามติรัฐธรรมนูญ แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้แก้” และเขามองว่า กฎหมายเรื่องเดียวกัน (สมรส) ไม่ควรแยกออกมาเป็นฉบับต่างหากให้กลุ่มคนที่ใช้ดูเป็นคนนอก
การเคลื่อนไหวของครูธัญและพรรคอนาคตใหม่ รณรงค์เรื่อง “คู่ชีวิตไม่เท่าสมรสเท่าเทียม” จนสื่อสารความรู้ออกไปได้กว้างขึ้นว่า กฎหมายสองตัวมันแตกต่างกันอย่างไร ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนก็รณรงค์เรื่องนี้อย่างแข็งขัน จนกลายเป็นว่า ในการเลือกตั้งปี 66 พรรคการเมืองจะต้องมีนโยบายกับกลุ่ม LGBTIQ+ (แต่เหมือนภูมิใจไทยจะไม่มี)
“นายกฯ เสี่ยนิด” นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ชูเรื่องนี้เป็นนโยบายหลักหนึ่งของเพื่อไทย ขับเคลื่อนชัดเจน และได้พา “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไปเดินขบวนไพรด์ที่ส่งเสริมสิทธิกลุ่ม LGBTIQ+ ด้วย อีกทั้งรัฐบาลนายกฯ เสี่ยนิดยังมีนโยบายเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน world pride หรืองานไพรด์ระดับโลก แต่ไทยยังไม่รู้ว่าจะประมูลได้ปีไหน
เรื่องสมรสเท่าเทียม ให้บทเรียนกับสังคมไทยที่สำคัญคือ 1.การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเพื่อผลักดันกฎหมาย ต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็ง ถ้าให้ดี ต้องมี สส.ที่เป็นแนวร่วมในการผลักดัน เพราะที่สุดกฎหมายก็ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ 2. เป็นกฎหมายที่สอนว่า “อย่าเชื่อคำว่ารับไว้ก่อนแล้วค่อยแก้” มองแง่ดีคือ กฎหมายมันมีเยอะ จะแทรกวาระแก้ก็ยาก
กฎหมายนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะกระแสเสรีนิยมปัจจุบันมองเรื่องเพศอย่างเท่าเทียมแล้ว อีกทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTIQ+ จะรู้สึกว่า “ประเทศที่มีกฎหมายเป็นมิตร ก็จะเป็นมิตรกับกลุ่มหลากหลายทางเพศด้วย” และส่งเสริมธุรกิจใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เพิ่มเม็ดเงิน
ในด้านการเคลื่อนไหวต่อมา ภาคประชาชนกำลังผลักดันกฎหมาย ป้องกันการเลือกปฏิบัติ เพื่อคุ้มครองอัตลักษณ์เปราะบาง เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ คนพิการ เมื่อมองจากคดี “แบงค์ เลสเตอร์” คิดว่า น่าจะเป็นบทเรียนในการยกร่างกฎหมายให้ครอบคลุมการกลั่นแกล้งรังแกกลุ่มเปราะบางให้โทษหนักขึ้น ซึ่งถ้าจะเอา ต้องชี้ความสำคัญให้สังคมเห็นชัดเจน
อย่าเรียกร้องจนกลายเป็นกระแสต้านจากอีกฝั่ง และผู้เรียกร้องถูกเรียกว่า woke เพราะจะผลักดันอะไรได้ยาก.