เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 68 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาตั้งกระทู้ถามทั่วไป ของนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. ถาม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เรื่อง มาตรการสนับสนุนตลาดพลังงานสะอาดผ่านโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) ว่า การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันปล่อยมลพิษมากที่สุด ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านไฟฟ้าไปเป็นพลังงานสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ผ่านมาถูกเอื้อให้กับกลุ่มทุนที่รัฐบาลซื้อพลังงานหมุนเวียน เริ่มตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลาที่รัฐบาลจะซื้อก็อ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ตนตั้งคำถามทุกครั้งว่าเป็นความมั่นคงของประเทศหรือของใครกันแน่ เพราะปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงกว่าความต้องการหรือหลักการสำรองไฟฟ้าอยู่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีโรงงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเลย แต่ยังได้เงินจากประชาชนผ่านค่า FT ที่สำคัญการรับซื้อนั้นไม่มีการประมูล ตนเห็นด้วยกับความกล้าหาญของนายพีระพันธุ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อไฟฟ้าและให้ชะลอการรับซื้อออกไป แต่ยังต้องติดตามว่าจะกลับมาดำเนินการต่อหรือไม่
นายนรเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ “ผู้มีบารมีนอกรัฐบาล” ที่ไปถ่ายรูปในสนามกอล์ฟใช่หรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ และท่านมองเห็นถึงโครงสร้างการรับซื้อพลังงานสะอาดหรือไม่ เช่น โซลาร์รูฟท็อป จะมีการขยายการรับซื้อจากภาคประชาชนเหมือนกับกลุ่มทุนหรือไม่ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้การขออนุญาตใช้เวลานาน ท่านจะทำอย่างไร จะมีมาตรการจูงใจภาคครัวเรือนเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และจะมีวิธีลดภาระอย่างไร
ด้านนายพีระพันธุ์ ชี้แจงว่า ยืนยันว่าส่วนตัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีการผูกขาดพลังงาน เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง จึงยังไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ในทันที ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ยอมรับว่าตนหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังมีข้อผูกพันทางกฎหมาย ไม่ใช่ทันใจที่เราอยากทำ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมามีความชัดเจนอยู่แล้วว่า จะต้องลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน โดย 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่มีนโยบายขึ้นค่าไฟฟ้าและตรึงราคาค่าแก๊สไว้ตลอด แม้จะยังไม่สามารถลดราคาได้ แต่ได้พยายามไม่ให้ขึ้นไปมากกว่านี้ ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อประเด็นปัญหานี้ ถ้าติดตามการทำงานของตน มันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว
“ส่วนตัวผมไม่ชอบเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้อง และไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นนโยบายเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่าเรามีความคิดผมกับท่านตรงกันอยู่แล้วที่จะดำเนินการ สำหรับประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน ผมเห็นด้วย แต่ผมคิดอีกแบบ ความมั่นคงทางพลังงานไม่ใช่เพียงแค่การทำให้มีพลังงานในปริมาณที่มากขึ้น แต่ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงต้องทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองในการมีไฟฟ้าใช้ได้ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ประเทศเราที่เหมาะสมที่สุดคือแสงอาทิตย์ ดังนั้นจึงควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน อย่าพูดถึงขายเลยเอาแค่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟ ไม่ต้องพะวงว่าอีก 4 เดือน ค่าไฟจะปรับเท่าไหร่ ปัจจุบันที่ต้องปรับราคาเพราะไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส เราเจอภาวะราคาตลาดโลก ทำให้กำหนดราคาคงที่ไม่ได้ ผมก็พยายามศึกษา เพราะเป็นสัญญาที่ทำข้อตกลงไว้แล้ว” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแยกส่วนการไฟฟ้าไปอยู่ในกระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทย เพราะเมื่อมีการแยกระหว่างการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ทั้ง 2 หน่วยงาน ต้องรับไฟฟ้ามาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นฝ่ายผลิตแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายขาย ทุกขั้นตอนต้องมีกำไร หากไม่มีกำไรก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ตนอยากจะหาทางแก้ปัญหา แต่ทั้งหมดนี้ สว. และ สส. เป็นผู้บัญญัติกฎหมาย รู้หรือไม่ว่ากฎหมายไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีมาตั้งแต่ปี 2511 ดังนั้นควรมีการปรับแก้ ปัญหาพลังงาน ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็น แต่ประเด็นคือใครจะเป็นคนทำ
“ท่านนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็กำชับผมด้วยซ้ำไป ผมไม่อยากให้เข้าใจผิด ตั้งแต่ท่านนายกฯ เศรษฐามาถึงนายกฯ แพทองธารได้กำชับผมมาโดยตลอดให้ช่วยแก้ปัญหา” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า เวลาประชาชนจะขอติดแผงโซลาร์ต้องขออนุญาตถึง 5 หน่วยงาน ซึ่งซ้ำซ้อนและยุ่งยากมาก รวมถึงต้องรอเป็นปี ตนในฐานะกำกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพลังงาน ได้สั่งการแก้ระเบียบไปแล้ว วันนี้การแก้กฎหมายไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน อีกนานกว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเรื่องการหาเงินทุน ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับนายทุน เพราะตนไม่ใช่นายทุน แต่วันนี้มันเกิดกับพี่น้องประชาชน ตนต้องแก้ไข หากท่านติดตามข่าวสารเหมือนที่ท่านพูด ท่านจะเห็นเลยว่าอะไรที่ส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ตนสั่งระงับทั้งนั้น เพราะตนไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับใคร
“ผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็เหมือนกับท่าน เรามาเป็นผู้แทนมาทำงานให้กับประชาชน ครั้งหนึ่งในชีวิตขอทำตรงนี้ทำให้ดีที่สุด ผมทำทุกอย่างภายใต้นโยบายรัฐบาลและตามแนวทางคือเพื่อความมั่นคงทางพลังงานให้กับประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว.