เมื่อวันที่ 7 ม.ค. เวลา 09.18 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ว่า ถือเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ หลังจากได้รับฟังความคิดเห็นแล้วพบว่ามีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันก็ยังมีการประชุมเรื่องนี้กันอยู่ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเห็นว่าทุกคนเห็นด้วยกับหลักการ แต่ต้องไปดูรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น รายละเอียดเรื่องค่าสาธารณูปโภค หากไปอยู่ในสถานที่คุมขังที่อยู่ในสถานที่ของราชการจะเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการติดตั้งกล้องวงจรปิด ค่าติดกำไลอีเอ็ม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับงบประมาณ ซึ่งขอให้ไปสอบถามเรื่องนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

เมื่อถามว่ารายละเอียดทั้งหมดนี้อยู่ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ใช่หรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า มันมีระเบียบที่กรมราชทัณฑ์จะต้องนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำแนกผู้ต้องราชทัณฑ์ สถานที่ของราชทัณฑ์ต้องได้รับการพัฒนา และจะต้องทำให้ผู้ต้องขังได้รับการฟื้นฟู

เมื่อถามว่านอกจากข้อกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วยังมีเรื่องอื่นๆ อีกหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ให้คณะที่จัดการเรื่อง เพราะเป็นเรื่องภายใน เพียงแต่เรื่องดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมากว่าจะมีการมาทำให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เราจะไม่เอาคนมาเป็นตัวตั้ง แต่จะยึดถือเรื่องของประเทศเป็นตัวตั้ง เพราะราชทัณฑ์ของเรามีความแออัดมาก ทุกวันนี้เราก็ถูกกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิอยู่แล้ว เพียงแต่มีคนคิดว่าจะมีการเอามาช่วยคนนั้นคนนี้ซึ่งขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้เด็ดขาด

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่จะมีการคุมขังในบ้านพักส่วนตัว รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เขามีระเบียบอยู่แล้ว แล้วจะถูกควบคุมมากขึ้นด้วยซ้ำไป จึงต้องดูว่าจะต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอย่างไร ซึ่งจะมีคนของกรมราชทัณฑ์เข้าไปดูแลด้วย

เมื่อถามถึงบุคคล 4 กลุ่มที่จะได้รับการพิจารณาให้ใช้ระเบียบการคุมขังนอกเรือนจำ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า จะให้ใช้ดุลพินิจและหลักเกณฑ์ของคณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ก็มาจากการรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ต่อข้อถามว่าเรื่องนี้ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า แค่คณะกรรมการ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายราชทัณฑ์

เมื่อถามว่ากรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย จะเข้าอยู่ใน 4 กลุ่มนี้หรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ไม่เข้าข่ายกลุ่มเหล่านี้ เพราะแค่จำนวนโทษก็ถือว่าเกินแล้ว เมื่อถามอีกว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ จะเข้าเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เราจะไม่อาจเอื้อมไปถึงเรื่องนั้น เพราะแค่ดูตามหลักเกณฑ์ ก็ไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องเป็นไปตามการพิจารณาของราชทัณฑ์แต่ละแห่ง

เมื่อถามว่าหากใช้วิธีการสร้างตึกใหม่เพิ่มจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการคุมขังนอกเรือนจำหรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เราได้รับงบประมาณสำหรับการก่อสร้างหรือปรับปรุงได้ประมาณปีละ 1 เรือนจำ แต่อายุเฉลี่ยของอาคารเรือนจำที่ประมาณ 90 ปี ขณะเดียวกันมีเรือนจำ 50 กว่าแห่ง มีสภาพเสื่อมโทรม ทั้งนี้ในหลายประเทศใช้วิธีการคุมประพฤติ ซึ่งเราพบว่าในประเทศไทย ผู้ที่อยู่ในระบบคุมประพฤติมีอัตราการกระทำผิดซ้ำอยู่ที่ 9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยกว่ากรณีของผู้ที่คุมขังในเรือนจำ ที่มี 37 เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาได้อยู่กับชุมชน และเรามีมาตรการคุมประพฤติที่หลากหลายสำหรับผู้ที่มีโทษน้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีผู้ที่ต้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้เข้ากลุ่มตามระเบียบดังกล่าว จะทำให้ถูกโจมตีหรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เราอย่าไปกลัวที่จะกล้าหาญในการให้ความเป็นธรรม และไม่มีอคติ