เริ่มมาจากเกมร้อนการเมืองร้ายเขย่าบัลลังก์อำนาจ “รอยรักแตกร้าว” ของ “พี่น้อง 3 ป.” ที่ทำเอา พลพรรคการเมือง ซอยเท้าออกมาวอร์มอัพ เตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ท่ามกลางปัญหาการเมืองวุ่นๆของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ยังคงคาราคาซังแก้ไม่ตก
นาทีนี้ต้องจับตาแรงเคลื่อนของ 2 พรรคใหญ่ ที่จะเป็น “มวยคู่เอก” ในสังเวียนการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคเพื่อไทย ที่ต่างฝ่ายต่างเริ่มปรับทัพ จัดคน วางเกมสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เริ่มตั้งแต่ พรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้ออกอาการร้องแรงจนเดือดปุดๆ จาก “เกมร้อนการเมืองร้าย” กันแบบรายวัน จนกลายเป็นมหากาพย์ซีรี่ย์ดราม่า โดยในซีซั่นล่าสุดพลิกตลบกลับกลายมาเป็น “เกมพี่เลิฟหักน้องรัก” ซึ่งกลายเป็นการผลักให้พรรคพลังประชารัฐทั้งพรรคเข้าสู่ “เดดโซน” ที่ล่อแหลมทางการเมือง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเกมห้ำหั่นในครั้งนี้ เปิดฉากขึ้นหลังจากมีข่าวการทำโพลตัดเกรด ส.ส.ภายในพรรค ของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งตรงจาก “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่งานนี้ “พี่ป้อม” กลับออกมาปฏิเสธ
จนงานนี้ ทำเอา “บิ๊กตู่” ต้องมีการเรียกกลุ่ม 6 รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐเข้าหารือ เพื่อเดินเกมล้างบาง “กลุ่มกบฏการเมือง” ในพรรคพลังประชารัฐกันอีกรอบหนึ่ง โดยใช้วิธีให้คณะกรรมการบริหารพรรคที่มีอยู่ 26 คน ลาออกเกินกึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นการโละกรรมการบริหารชุดเก่า พร้อมทั้งล้างบาง “กลุ่มกบฏการเมือง” ไปแบบเนียนๆ
แต่แผนล้างบางกบฏพลังประชารัฐในครั้งนี้ ก็ถูกเบรกกะทันหัน ทั้งที่เริ่มล่าชื่อกรรมการบริหารพรรคได้เพียงแค่ 8 คน โดยที่ “พี่ป้อม” ได้ต่อสายหา กรรมการบริหารพรรคทุกคนเพื่อไม่ให้เซ็นใบลาออก ซึ่งงานนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า “พี่ใหญ่” เลือกที่จะถีบสกัดแผนล้างบางของ “น้องเลิฟ” ก่อนจะหันไปอุ้ม “กลุ่มกบฏพลังประชารัฐ” แทน!

หากมองกันจนถึงนาทีนี้ก็จะเห็นได้ว่า คนที่กุมอำนาจหลักในทางการเมืองยังคงเป็น “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหนึ่งในการบริหารจัดการอำนาจอย่างแยบยล โดยการที่ “พี่ใหญ่” ยังคงหนีบ “ผู้กองธรรมนัส” เอาไว้ข้างตัว ก็เพราะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าจะปล่อยไปเป็นศัตรูที่จะกลับมาคอยทิ่มแทงในภายหลัง เพราะที่ผ่านมา “ผู้กองธรรมนัส” ถือเป็นลูกน้องคนสนิทที่ได้รับความไว้วางใจในการทำงานสำคัญๆ และน่าจะรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี
ดังนั้นงานนี้ “พี่ใหญ่” จึงเลือกที่จะเก็บ “เสือ” ไว้ข้างกาย ดีกว่า “ปล่อยเสือเข้าป่า” ซึ่งจะเป็นการเดินเกมที่ได้ไม่คุ้มเสีย จนเป็นเหตุให้ “บิ๊กป้อม” ต้องออกมาประกาศชัดไม่เปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค
นอกจากนั้นจากการทำแบบสอบถามถึงแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก็พบว่าคะแนนสนับสนุน “บิ๊กป้อม” ยังเหนียวแน่น 100% ขณะที่เสียงสนับสนุนไว้วางใจให้ “ผู้กองธรรมนัส” ทำหน้าที่เลขาธิการพรรคยังอยู่ในเกณฑ์ 80% ซึ่งก็กลายเป็นสัญญาณ “เดดล็อก” ที่อาจทำให้ “บิ๊กตู่” ต้องเจอทางตัน จากเกมการเมืองในสภาที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

ส่วน “บิ๊กตู่” อดีตน้องเลิฟที่พี่ไม่รัก! ก็ถูกผลักเข้าสู่ “เดดโซน” ในเกมอำนาจอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องเลือกว่าจะ “อยู่” หรือ “ไป” หากเลือกที่จะอยู่ต่อ ก็จะอยู่ในสถานะที่ต้องคอยต่อสู้ฟาดฟันกับ “ผู้กองธรรมนัส” พร้อมด้วย “กลุ่มกบฏคืนชีพ” ภายในเวทีสภากันต่อไป โดยเฉพาะในการพิจารณากฎหมายสำคัญๆ หลายฉบับที่จะถูกนำเข้าพิจารณาในสภา ภายหลัง “เปิดเทอมการเมือง” ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ หากระหว่างที่สภาพิจารณากฎหมายสำคัญแล้วมีการเดินเกมโหวตคว่ำ เพื่อให้เกิดการกระทบชิ่งโค่นบัลลังก์อำนาจ “บิ๊กตู่” ในสภาอีกรอบ… ก็ไม่รู้ว่ารอบนี้ “บิ๊กตู่” จะสามารถเอาตัวรอดได้อีกครั้งหรือไม่ นอกจากนั้นยังมีศึกอภิปรายแบบไม่ลงมติ มาตรา 152 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมรับมีด-ล้างเขียงรอกันแล้ว ดังนั้นอนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” นอกจากจะส่อเค้าจบไม่สวย แล้วยังต้องเหนื่อยกับการดิ้นขี่เสือเพื่อเอาตัวรอด
แต่หาก “บิ๊กตู่” เลือกที่จะไปจากพรรคพลังประชารัฐ ก็มีทางเลือกเดียวคือการตั้งพรรคใหม่ เพื่อทำหน้าที่นั่งร้านอำนาจแทนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะต้องรวบรวมไพร่พลสู้ด้วยตัวเอง เดินบนเส้นทางการเมืองด้วยลำแข้งของตัวเอง แม้จะทำให้หลุดพ้นจาก “กลุ่มกบฏ” แต่แรงเสียดทานข้างหน้ามีมหาศาล และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นทางเลือกที่ยังไม่เห็นแสงสว่าง

ปรับโฟกัสไปที่อีกฝั่งคือ พรรคเพื่อไทย ที่เรียกได้ว่ามีแต้มบุญ จาก “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เหลืออยู่ในมือ โดยล่าสุดมีการเปิดตัว ลูกสาวคนสุดท้อง “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจเป็นการปูทางไปสู่ตำแหน่ง “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งงานนี้ก็เป็นเหมือนภาพรีรันกลับไปสมัย “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์การเมือง ด้วยการกระโดดลงสนามเลือกตั้งเพียง 49 วัน ก็ได้เป็น “นายกฯหญิงคนแรกของไทย”
ซึ่งแน่นอนว่าในครั้งนี้ “โทนี่ วู้ดซัม” ก็หวังที่จะดัน “ลูกสาวแม่ลูกอ่อน” สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองซ้ำรอย เพื่อให้ “อุ๊งอิ๊ง” นั่งตำแหน่ง “นายกฯหญิงคนที่สองของไทย” เช่นกัน

หากมองบริบททางการเมืองในขณะนี้ ความฝันของ “โทนี่ วู้ดซัม” คงไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากกติกาเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ซึ่งเอื้อต่อพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ขณะเดียวกันทั้ง “โทนี่” และ พรรคเพื่อไทย ยังครองความนิยมในฐานที่มั่นอีสานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ชนิดที่ว่า “โทนี่” ขยับเมื่อไหร่ ก็มักจะได้ใจคนอีสานอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับ พรรคเพื่อไทย ก็คือความเคลื่อนไหวของ พรรคก้าวไกล ซึ่งมีฐานเสียงเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จึงจะเห็นได้ว่างานนี้ พรรคเพื่อไทย มีการปรับทัพ ดัน “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ขึ้นมาเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่” เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่เข้ากับคนรุ่นใหม่ได้ดี จึงเป็นความหวังในการจูงใจ “โหวตเตอร์วัยละอ่อน” มากยิ่งขึ้น และยังมีการปรับทัพวางกำลังพลเพื่อหวังดึงแต้มที่เคยเป็น “คะแนนส้มหล่น” ให้กับ พรรคอนาคตใหม่ กลับมาเป็นแต้มของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง นอกจากนั้นพรรคเพื่อไทยยังมีไม้เด็ดอย่างนโยบายที่โดดเด่นมาโดยตลอด และครั้งนี้ “โทนี่” ก็คุยข่มไว้แล้วว่า ยังมีอะไรให้เซอร์ไพร้ส์อีกเยอะ

ท่ามกลางบรรยากาศที่ 2 พรรคใหญ่ กำลังปรับทัพเตรียมสู้ศึก ในฐานะ “มวยคู่เอก” ของสังเวียนเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องลุ้น เนื่องจากทั้ง 2 พรรค ต่างถูกร้องเรียนต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในประเด็นกล่าวหาว่าคนนอกครอบงำพรรค ซึ่งในที่นี้คือ “โทนี่” และ “บิ๊กตู่” ซึ่งบทลงโทษจากข้อกล่าวหานี้คือการ “ยุบพรรค” ดังนั้นเวลานี้ทั้ง 2 พรรค จึงมีลุ้นเสียวที่จะพลาดสังเวียน!
อย่างไรก็ตามการเมืองตอนนี้…เรียกได้ว่ากระพริบตาไม่ได้กันเลยทีเดียว หาก “พี่น้อง 3 ป.” และ คนพรรคพลังประชารัฐ ยังฟัดกันไม่เลิก ก็จะเท่ากับเดินเข้าหา “เดดโซน” ที่สุ่มเสี่ยงทำให้เกิด “เดดล็อก” ทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งงานนี้ก็คงไม่ยากเกินจะจินตนาการว่าใครจะต้อง “เดด” เป็นรายต่อไป

สุดท้ายที่น่ากังวลมากกว่าเกมการเมืองภาพในพรรคการเมือง หรือเกมการเมืองในสภา ก็คือ “เดดโซน” จากโจทย์การเปิดประเทศ และการเปิดเรียนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉียดหลักหมื่นคนต่อวัน แม้จะเป็นความจำเป็นเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ แต่หากเปิดประเทศเปิดการเรียนการสอนปกติ แล้วเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ขึ้นอีกระลอก ก็คงจะกลายเป็น “เดดล็อก” ของประเทศไทยทั้งประเทศ.