เมื่อต้นปี 2568 นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ลาออกก่อนหมดวาระ ทำให้เสียเงินจัดเลือกตั้งใหม่เพราะท้องถิ่นต้องกันงบมาเลือกตั้งนายก อบจ.ใหม่ และยังต้องใช้งบจัดเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ( ส.อบจ.) อีก ถ้าใช้เงินมากก็ไปกระทบเงินเก็บของ อบจ.นั้น ซึ่ง “อดีตนายกฯชวน” จับมือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ทำหนังสือถึงประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องที่ต้องเลือกนายก อบจ.แทนคนที่ลาออกก่อนหมดวาระ แล้ววันที่ 1 ก.พ.2568 ยังต้องเลือกตั้ง ส.อบจ.อีก สิ้นเปลืองงบประมาณ บางคนก็ลาออกก่อนครบวาระไม่นาน อย่าง จ.อุบลราชธานี
“อดีตนายกฯชวน” มองว่า การกระทำแบบนี้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อระบบการเมือง การปกครอง เพิ่มภาระการคลัง จึงขอให้ศึกษาแนวทางเพื่อปรับปรุงกฎหมาย และเสนอต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ “อดีตนายกฯชวน” ยังทำหนังสือถึงนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ให้พิจารณาด้วย
ที่ต้องแก้ปัญหา เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อปท.) อื่น เอาอย่าง “อดีตนายกฯชวน” บอกว่า นายกเล็ก หรือนายกเทศมนตรีก็เริ่มลาออกก่อนพ้นวาระ เมื่อผู้บริหารลาออกก็จะต้องเลือกตั้งใน อปท.เดียวกัน 2 รอบ มาตรา 22 วรรคสอง ของ พ.ร.ป.กกต. ให้อำนาจ กกต.ป้องกันเรื่องที่อาจไม่สุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งได้ จึงให้ กกต.ช่วยพิจารณา
การเลือกตั้งนายก อบจ.แทนคนที่ลาออก มี 14 จังหวัดที่ นายก อบจ.คนเดิมได้เก้าอี้ จนไม่ทราบลาออกทำไม?? สาเหตุที่ลาออกก่อนครบวาระ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการถูกร้องเรียนจากการหาเสียงภายในช่วงเวลา 180 วันก่อนครบวาระ พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ศ. 2562 กำหนดให้ผู้สมัครสามารถเริ่มหาเสียงได้ตั้งแต่ 180 วัน ก่อนครบวาระ
หากจะทำโครงการอะไรอาจถูกร้องเรียนว่า “ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อจูงใจในการหาเสียง” จึงต้องลาออกสกัดความเสี่ยง และยังมีปัจจัยทางการเมือง อย่างเช่น การเลือกนายก อบจ. ไม่พร้อมกับส.อบจ.ทำให้เชคเสียงสนับสนุนจาก ส.อบจ.ได้ หรือการชิงลาออกก่อน จะทำให้คู่แข่งไม่ทันตั้งตัวในการลงสมัครหรือหาเสียง เพราะไม่ได้รอเลือกพร้อมกันทั่วประเทศ
โดยนายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า การจัดการเลือกตั้งสองครั้งโดยไม่มีความจำเป็น เช่น จ.อุบลราชธานี ที่เพิ่งจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. ไปเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2567 เมื่อถึงวันที่ 1 ก.พ.2568 ก็ต้องเลือก ส.อบจ.อีก คนต้องไปเลือกตั้งหลายรอบ อาจจะทำให้ไม่อยากไปเลือกตั้งกันอีก
โดย นายสติธร แนะนำแนวทางแก้ปัญหาตรงนี้ว่า “ต้องแก้กฎหมาย กำหนดวาระของนายก อบจ. และ ส.อบจ. ให้เหมือนกัน ถ้านายก อบจ. ลาออกก่อนครบวาระ คนที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่จะอยู่ได้แค่จนครบวาระไปพร้อมกับ ส.อบจ. หรือลาออกในช่วง 6 เดือนสุดท้าย ก็อาจจะไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ จะทำให้คนชิงลาออกน้อยลง”
และมีข้อเสนอแนะถึง กกต.ว่า ควรมองไปถึงการจัดเลือกตั้งด้วยเครื่องมืออื่น ที่ไม่จำเป็นจะต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเข้าคูหาเท่านั้น หรือการเลือกตั้งนอกเขต เลือกตั้งล่วงหน้าด้วย เพื่อดึงคนมาใช้สิทธิมากขึ้น กกต.อาจจัดเลือกตั้งเองเพื่อความโปร่งใส เพราะถ้าให้ท้องถิ่นทำ เจ้าหน้าที่อาจใกล้ชิดผู้บริหารท้องถิ่นคนเก่าที่มาลงเลือกตั้งใหม่
งบเลือกตั้ง อบจ.ที่ท้องถิ่นจัด มีร่วม 3.5 พันล้าน แต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน เช่น จ.นครราชสีมา 188 ล้าน จ.สมุทรปราการ 153 ล้าน ถ้าเลือกตั้งครั้งเดียวพร้อมกันทั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.คงประหยัดงบมาใช้ในงานอื่น เพื่อท้องถิ่นได้มากขึ้น
เรื่องนี้ระดับ “อดีตนายกฯ” ยังเห็นปัญหา ก็หวังว่า ฝ่ายนิติบัญญัติก็น่าจะเห็นพ้อง เว้นแต่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยว ก็ต้องรอดูฝ่ายนิติบัญญัติ สส. – สว. – พรรคการเมืองไหนจะออกมาขานรับบ้าง.