เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่าครั้งรุนแรง ในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ว่า ตนติดตามข่าวด้วยความระทึกใจ เพราะมันรุนแรงและเสียหายเป็นวงกว้าง บาดลึกไปถึงความรู้สึก ขณะนี้ได้เผาผลาญไปแล้วกว่า 45,000 ไร่ และกำลังลุกลามไปยัง ฮอลลีวูดฮิลล์ ที่มีบ้านของดาราฮอลลีวูดหลายคน รวมถึงสถานที่จัดงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 ซึ่งกำลังเตรียมการอพยพกันอยู่

นายจักรภพ กล่าวว่า ไฟไหม้ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่รุนแรงที่สุดของสหรัฐอเมริกา เหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายเริ่มรู้สึกตัวว่าภัยกำลังจะถึงตัว จากที่เมื่อก่อนคิดว่าชาวไร่ชาวนาจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบก่อน ตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย ยังไงก็สามารถดับได้ทัน วันนี้ในสหรัฐ จึงมีการพูดกันมากว่า ตนเองจะอยู่ในสภาพอย่างไร เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 20 มกราคม นี้ เป็นคนที่ถอดสหรัฐออกจากสนธิสัญญา ที่กรุงปารีส ว่าด้วยภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยนั้น 

นายจักรภพ กล่าวต่อว่า หลังจากการถอนตัวออกมาจากสนธิสัญญาปารีส ก็ไม่ได้แปลว่าสหรัฐจะไปต่อต้านเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่การประกาศอย่างนั้น เท่ากับสหรัฐ ไม่ต้องการจะเป็นผู้นำด้านนี้ และไม่เชื่อว่าภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และมีประเทศต่าง ๆ ที่ถอนตัวตามสหรัฐ หรือเพิกเฉยต่อเรื่องสิ่งแวดล้อม พูดง่าย ๆ คือไปสร้างการนำที่ผิดทางเอาไว้ ทั้งที่หลายประเทศทั่วโลกเขาตกลงกันว่าต้องลดคาร์บอน ลดความเสียหายทางด้านภูมิอากาศลง เพื่อให้โอโซนกลับมาซ่อมตัวเองได้ และโลกไม่อยู่ในสภาพที่ร้อนเกินไป เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตเข้ามามากเกินไป และการเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ มีคนเสียชีวิต บาดเจ็บ และอพยพหนีไปกว่า 100,000 คน เขาไม่ได้ร่วมตัดสินใจกับทรัมป์ด้วย ครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของคนอเมริกัน

นายจักรภพ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เกิดการเรียนรู้และเกิดคำใหม่คือ “Hydroclimate whiplash” หรือ รอยเฆี่ยนจากอากาศ ที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำในสหรัฐ ความชื้นทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ปรากฏว่ากระแสลมที่มาแรงกล้า เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ภูมิอากาศแห้งโดยฉับพลัน เมื่อมีการจุดไฟขึ้น จะด้วยน้ำมือคนหรือธรรมชาติก็ตาม มันเกิดความเปลี่ยนแปลงระหว่างชื้นกับแห้ง การไหม้จึงลุกลามไปมากกว่าปกติ สหรัฐอเมริกาเอง ก็คงจะต้องเข้าสู่ยุคที่จะมีผู้นำอย่าง ทรัมป์ ที่ปิดหู ปิดตา และปิดใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อมของโลก ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ และนโยบายของเขาจะสร้างประโยชน์สู่สหรัฐ หรือจะสร้างโทษจนเหมือนเป็นการลงทัณฑ์คนอเมริกาแทน

“ตอนที่ทรัมป์ ถอนตัวออกจากสนธิสัญญากรุงปารีส แล้ว ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็นำกลับเข้าไปอีก แต่เมื่อคนอเมริกัน เลือกทรัมป์มาอีกครั้ง เขาก็เตรียมจะเอาออกจากสนธิสัญญานี้ มันก็เหมือนการชักเย่อกันไปมา โดยมีชีวิตของคนอเมริกันเป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้นไฟไหม้ป่าครั้งนี้ จึงเป็นส่วนผสมของไฟที่ไหม้ทุกปี มาจากภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนจากชื้นมาแห้งอย่างฉับพลัน เกิดกระแสลมอันรุนแรง รวมทั้งเกิดจากสหรัฐ ถอนตัวจากสนธิสัญญาปารีส และชักเข้าชักออก จนทำให้นโยบายนี้มันไม่ต่อเนื่อง จนไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดผลได้ในเชิงการรักษาสิ่งแวดล้อม” นายจักรภพ กล่าว 

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ไฟไหม้ป่าในครั้งนี้ อย่านึกว่ามันจะเกิดขึ้นในเมืองไทยไม่ได้ เรามีไฟไหม้ป่าทุกปี แต่ตราบใดที่ไม่ได้ไปไหม้สถานที่สำคัญ ๆ หรือกระทบใคร ก็ดูเหมือนยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ และหลายคนก็ยังมองว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไกลตัว เอาเรื่องปากท้องก่อน ทั้งที่ความจริงแล้ว เรื่องสิ่งแวดล้อมกับปากท้องเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมการรับมือ