เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์โรคไข้หวัดนกว่า ไข้หวัดนกอัตราการเสียชีวิตสูงมาก ซึ่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมภายใต้แผนรับมือการระบาด ทำงานร่วมกับกรมควบคุมโรค เป็นแผนบูรณาการทั้งการเฝ้าระวัง การควบคุมโรค ส่วนเรื่องพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกนั้น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกที่เคยได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว แต่จำเป็นต้องย้ายการผลิตไปยังโรงงานผลิตที่ อ.ทับกวาง จ.สระบุรี จึงจะทำงานวิจัยเพื่อขอขึ้นทะเบียนใหม่กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยเป็นวัคซีนเชื้อเป็นใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก
นอกจากนี้ สถาบันฯ ได้ให้ทุนกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดนก H5N1 โดยใช้แพลตฟอร์ม mRNA ตอนนี้กำลังรอผลการทดลองในหนู หากได้ผลดีก็ขยับเป็นสัตว์ใหญ่ขึ้น ถ้าให้ผลดีก็จะเริ่มทดสอบในมนุษย์ต่อไป ซึ่งข้อดีของวัคซีนชนิด mRNA คือ จะตอบสนองได้เร็ว หากมีการระบาดรุนแรงเกิดขึ้น
สำหรับจำนวนโด๊สวัคซีนที่เพียงพอนั้น นพ.นคร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระบาดวิทยา ลักษณะการระบาดของโรค แต่ส่วนใหญ่ตามหลักการจะใช้วัคซีนเพื่อควบคุมการระบาดก่อน หากเป็นกรณีไข้หวัดนก ก็จะใช้ในพื้นที่ที่มีการระบาด ฉีดให้ผู้สัมผัสโรคที่มีความเสี่ยงว่าจะป่วย รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า ที่ดูแลในพื้นที่การระบาดนั้นๆ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะไม่เกิดในวงกว้างเร็วมากนัก เว้นเสียแต่ว่า มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ที่ต่างไปจากเดิมมาก แล้วทำให้พฤติกรรมการระบาดเปลี่ยนไป แต่หากเฉพาะพฤติกรรมการระบาดที่รับรู้ในปัจจุบัน (10 ม.ค. 2568) โอกาสการระบาดวงกว้างจะมีน้อย ส่วนใหญ่จะเกิดการระบาดเป็นจุดๆ (Outbreak)
นพ.นคร กล่าวต่อว่า การเตรียมความพร้อมเรื่องวัคซีนของประเทศไทย ให้มีศักยภาพการผลิตภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะไข้หวัดใหญ่ยังเป็นความเสี่ยงทั้งโลก โอกาสจะเกิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รวมทั้ง ตัวที่เกี่ยวพันกับไข้หวัดนก โอกาสมันมีอยู่เพราะทั่วโลกมีการระบาดในจุดต่างๆ ประปราย โอกาสที่ไวรัสจะเปลี่ยนสายพันธุ์ก็เกิดขึ้นได้ แล้วเกิดเหตุเหมือนคราวไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เมื่อมีการเปลี่ยนสายพันธุ์ไปมากๆ ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ ระบาดไปในวงกว้าง หรือยกตัวอย่าง กรณีโควิด-19 ที่ไม่ได้เป็นเชื้อไวรัสใหม่ที่เราไม่เคยเจอ แต่เป็นเชื้อโคโรนาไวรัสที่มีการระบาดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นสายพันธุ์ที่คุ้นเคย แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของไวรัสจนกลายพันธุ์ เกิดเป็นก่อโรคโควิด-19 เกิดขึ้น ทำนองเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ ที่ปัจจุบันก็มีการระบาด แต่ไม่รุนแรง เพราะคุ้นเคยกับเชื้อ กระทั่งหากเชื้อไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ พฤติกรรม ระบาดได้มากขึ้น ความรุนแรงมากขึ้น ระบาดวงกว้างได้มากขึ้น จะกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขวงกว้างแบบเดียวกับที่ประสบในโรคโควิด
ถามว่าถ้าเกิดไข้หวัดนกในประเทศไทย วัคซีนจะทันใช้หรือไม่ นพ.นคร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าสามารถพัฒนาศักยภาพประเทศไทยได้เร็วแค่ไหน ถ้าคิดจากวันนี้แล้วพรุ่งนี้เกิดการระบาด ก็ตอบว่ายังไม่ทัน หมายถึงว่าไม่ทันใจ ไม่เหมือนกับถ้าไทยสามารถผลิตได้เองจนกระทั่งมั่นใจ เมื่อเกิดการระบาดขึ้นก็จะสามารถผลิตได้ทันเหตุการณ์ได้อยู่ แต่หากไทยไม่มีศักยภาพผลิตได้เองในประเทศ ก็หมายความว่าเราต้องรอซื้อจากต่างประเทศ ก็จะวนสถานการณ์คล้ายกับโควิด-19
“มีความสำคัญมากที่จะพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้ได้เอง แล้วต้องพัฒนาให้ได้วิธีการที่เร็วด้วย จึงเป็นที่มาที่สถาบันฯให้ทุนในเรื่องพัฒนาแพลตฟอร์ม mRNA ที่จะทำวัคซีนได้เร็ว โดยตามหลักการและประสบการณ์ที่ทำวัคซีนในช่วงโควิดระบาด สามารถผลิตได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าและทำได้ปริมาณมากกว่า” นพ.นคร กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนแพลตฟอร์ม mRNA นพ.นคร กล่าวว่า หากเทียบเคียงกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ที่มีการฉีดวัคซีนระดับหมื่นล้านโด๊ส ถ้าเกิดเหตุขึ้นมา 1 ในล้าน ก็แสดงว่าจะต้องมีคนเกิดเหตุประมาณ 10,000 คน รู้สึกเหมือนมาก แต่ในเชิงวัคซีนหากเกิดเหตุการณ์ 1 ในล้าน ถือว่าเป็นตัวเลขที่รับได้ อีกทั้ง หากสามารถพัฒนาให้ใช้ปริมาณโด๊สที่น้อยลง ผลข้างเคียงก็จะน้อยลงด้วย ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าจำนวนโด๊สของวัคซีน mRNA จะลดลงได้ และวิธีการฉีด หากเปลี่ยนจากการฉีดเข้ากล้ามเนื้อเป็นฉีดเข้าในผิวหนัง จะยิ่งใช้โดสน้อยลง ผลข้างเคียงจะยิ่งน้อยลงไปอีก
“ไม่ว่ายาหรือวัคซีนมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น ข้อสำคัญอยู่ตรงที่เราหวังผลในวงกว้างขนาดไหน ถ้าไม่ฉีด ไม่ใช้ อาจจะป่วยและเสียชีวิตจำนวนมากกว่าที่เห็น ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์มั่นใจว่าวัคซีน mRNA ช่วยลดป่วยลดตายไปเยอะมาก ถ้าไม่ใช้น่าจะมีคนป่วยเสียชีวิตมากกว่านี้อีกมาก ถ้ามาชั่งน้ำหนักกับข้อกังวลใจเรื่องผลข้างเคียง เทียบกันไม่ได้ จากที่ช่วยลดป่วยตายไปมาก” นพ.นคร กล่าว.