รอลุ้นกันอยู่ว่า พรรคฝ่ายค้านนำโดย “ประชาชน (ปชน.)” จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายใต้การนำของ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” ในช่วงเวลาไหนเพราะบรรดาคอการเมืองตั้งตารอคอยอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ “นายเศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พลพรรคสีส้มยังไม่เคยใช้มาตรการตรวจสอบรุนแรงที่สุด ทำให้พรรค ปชน.ถูกวิจารณ์ว่า เล่นบทออมมือ ตรวจสอบแบบไม่เต็มที่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้มากบารมี กับ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งเคยเดินทางไปพบกับ “นายทักษิณ” ที่เกาะฮ่องกง อีกทั้งที่ผ่านมาพรรคสีส้มยังหวังเสียง สนับสนุนจากพรรค พท. เพื่อให้ความเห็นชอบใน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) และการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
แต่หลังจาก “นายทักษิณ” เริ่มเล่นบทผู้ช่วยหาเสียง ในการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และพูดจาพาดพิงพรรค ปชน. ทำนอง พูดเก่งแต่ทำไม่เป็น รวมทั้งยังเป็นคู่ต่อสู้ชิงเก้าอี้นายก อบจ.ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายทักษิณ ซึ่งหวังจะคว้าชัยชนะมากที่สุด หลังการเลือกตั้ง สส. เมื่อเดือน พ.ค. 66 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กวาดสส.ไปถึง 7 ที่นั่ง ส่วนพรรค พท.ได้เพียง 2 ที่นั่ง ดังนั้นพรรค พท.จึงหวังใช้ความสำเร็จในการเลือกนายก อบจ. ต่อยอดไปถึงการ เลือกตั้งระดับชาติ ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมใคร
ด้าน “นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ใน ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความคืบหน้าในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ตอนนี้มีความคืบหน้าอยู่ในกรอบที่จะ ยื่นช่วงเดือน ก.พ. ส่วนการอภิปรายที่จะเกิดขึ้นจริงหลังการยื่นต้องไปเจรจากับวิปร่วม เพื่อกำหนดวันให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ล็อกวันที่จะมาชี้แจง ซึ่งกรอบกว้างๆ น่าจะอยู่ที่ราวปลาย ก.พ. ต้น มี.ค. หรืออาจจะ ขยับไปสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน มี.ค. โดยจะไม่ช้าไปกว่านั้น ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นในการอภิปรายจะเป็นเชิงนโยบายหรือ พฤติกรรมของรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงอย่างไรบ้าง นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จะมีหลายเรื่อง ทั้งระดับนโยบาย หรือการบริหารราชการที่ล้มเหลว รวมไปถึงกรณีต่อ การทุจริตคอร์รัปชั่น คิดว่าหลายเรื่องเคยรับฟังและเห็นจากข่าวว่าพรรค ปชน.ได้ตรวจสอบมาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเอื้อกลุ่มทุนผูกขาด การเอื้อตัวบุคคลบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม เรื่องนโยบายที่ล้มเหลวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซึ่งทุกเรื่องเราก็ ตรวจสอบต่อเนื่อง ตลอดเวลาให้ได้เห็นอยู่แล้ว แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ยังไม่เคยพูดและมีข้อมูลที่ได้มาจากทางหลังบ้านที่จะเห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้
“ทุกครั้งก็จะมีเรื่องที่ สื่อให้ความสนใจ เป็นพิเศษอยู่แล้ว ทุกครั้งคงจะพอทราบอยู่ว่า ตั้งแต่ อนค. ก.ก. มาจนถึงพรรค ปชน. จะมีไม้เด็ดที่เราไม่เปิดเผยก่อน บางครั้งก็ไม่ได้เปิดเผยกับคนในพรรคเสียด้วยซ้ำ มีเซอร์ไพร้ส์บางเรื่อง ที่เป็นเรื่องใหญ่ ยังไม่เคยมีใครรับรู้มาก่อน” พร้อมทั้งย้ำว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่เป็นรัฐบาลที่ ทำงานมาแล้ว 1 ปีกว่าๆ หน้าตาเหมือนเดิม เปลี่ยนขยับนิดหน่อยแค่เพียงพรรคเดียว ดังนั้น 1 ปีกว่าควรต้องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามี ผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรม ข้ออ้างที่ว่าเพิ่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่กี่เดือน ไม่ใช่เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
อ่านท่าที ประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ระบุว่ามีการเอื้อตัวบุคคลบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม นั่นหมายความว่า คงหยิบยกกรณีนายทักษิณ พำนักอยู่ที่ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ มาอภิปรายแน่ๆ หลังถูกตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาแกนนำพรรคฝ่ายค้าน หลีกเลี่ยงที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ แต่ที่น่าจะเป็นหมัดเด็ดคือ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ การทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งในอดีตทีผ่านมา มักนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลได้เสมอๆ หากพรรคฝ่ายค้าน มีใบเสร็จ หรือมีหลักฐานที่มีความชัดเจนว่า มีรัฐมนตรีบางคนเรียกรับผลประโยชน์ หรือได้อานิสงส์จากโครงการรัฐ ดังนั้นคงต้อรอดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ความไม่ชอบมาพากล ที่พรรค ปชน. นำมาเปิดเผยจะมีน้ำหนัก สร้างความน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่บอกกล่าวกับสาธารณชนไว้ ย่อมสร้างการยอมรับให้ พรรคแกนนำฝ่ายค้าน มากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต เพราะ “ปชน.” ตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องได้สส. 270 เสียง ซึ่งนำมาสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
ส่วนอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ คือคำปราศรัยระหว่างไปช่วยหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งถูกจับตามองจากกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลัง “นายอิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. ตอบคำถามสื่อเมื่อ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ถึงประเด็นหยิบยก นโยบายรัฐบาล ไปพูดในเวที ว่า การหาเสียงจะต้องเป็นไป ตามกรอบกฎหมาย ห้ามฝ่าฝืนกฎหมายและห้ามปราศรัยใส่ร้ายผู้อื่น ไม่เข้าข่ายหลอกลวง หากอยู่บนพื้นฐานดังกล่าวสามารถทำได้ ส่วนกรณีนายทักษิณหยิบยก นโยบายของรัฐบาล หาเสียงได้ใช่หรือไม่ ประธาน กกต.ตอบว่า เป็นความก้ำกึ่ง เพราะครั้งนี้การเลือกตั้ง อบจ. การพูดที่มีความเกี่ยวข้องอาจจะจำเป็นหรืออาจสามารถ รับฟังได้ในบางครั้ง แต่ทุกอย่างอยู่ในการรับรู้ตรวจสอบของสำนักงาน กกต.อยู่แล้วในทุกด้าน และทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ปกติมี การมอนิเตอร์การปราศรัย อยู่แล้ว
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ คำปราศรัยของ “นายทักษิณ” ล่าสุดเมื่อ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ จ.เชียงราย เขาปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขณะนี้บ้านเรา หนี้ประชาชน หนี้ประเทศสูง ขอเวลาอีก 2 ปี หนี้ประเทศจะลดลง บ้านเรามีเสือนอนกินมีทุกวงการ กำลังนั่งไล่ให้รัฐมนตรีไปพูดกับข้าราชการก็ มีคำแก้ตัวสารพัด นายกฯ ก็ไปพูดกับรัฐมนตรีว่าต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะเปลี่ยนคนมาแทน รัฐมนตรีจึงกระเตื้อง อย่างเรื่องข้าว เรื่องไฟฟ้า
“ปีนี้ค่าไฟฟ้าต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ในใจอยาก ให้เหลือ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เขาช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่ เห็นตัวเลขแล้วทุบได้ ต่อไปค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย ค่ายาก็จะให้ลง ต้องทำให้ เป็นจริงภายในปี 68 นี้ ถึงบอกว่าปีนี้รัฐบาลต้องทำงานหนัก ยาเสพติด Call Center ต้องเอาให้เกลี้ยง การผูกขาดทุกรูปแบบต้องเอาให้หมด ให้พี่น้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตต่ำลง ทำรายได้ให้ดีขึ้น มีโอกาสดีขึ้น ส่วนเรื่อง โฉนดที่ดินทำกิน ทั้งหลายกำลังคุยกันอยู่ ที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะให้เป็น แค่โฉนด ส.ป.ก.ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นโฉนดจริง เชื่อรัฐบาลจะแก้ปัญหาประเทศได้ไม่เกินมือ” นายทักษิณ กล่าว
ส่งผลให้ “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะ เลขาธิการพรรค พท. ต้องออกมาให้ความเห็นกรณี กกต. ระบุว่าการปราศรัยหาเสียงของ นายทักษิณ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงนายก อบจ. ของพรรค พท. โดยหยิบยกนโยบายของรัฐบาลไปพูดในเวที สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ว่า ต้องดูว่าข้อกฎหมายเป็นอย่างไร และต้องกำชับไปยังผู้ช่วยหาเสียงทุกคน ในเรื่องการพูดนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกัน แต่เรื่องนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะ หัวหน้าพรรค พท. รับทราบแล้ว และคุยกันอยู่
เมื่อถามว่า จะกระทบอะไรกับพรรค พท.หรือไม่ เช่น อาจจะมีคนไปร้องแล้วทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของแต่ละคน หากเห็นว่าเป็นเช่นนั้น เขามีสิทธิร้องก็ร้อง เดี๋ยว กกต.คงตัดสินออกมาเอง แต่เบื้องต้นถ้าสามารถเตือนกันได้ เดี๋ยวจะมีการพูดคุยกัน เมื่อถามว่า พรรค พท.จะต้องเปลี่ยนรูปแบบของการหาเสียงหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า หาก กกต.มองว่าสุ่มเสี่ยง ก็ต้องปรับเปลี่ยน เมื่อถามว่า ในส่วนของนายทักษิณจะเป็นใครไปพูดคุยด้วย นายสรวงศ์ กล่าวว่า อาจจะให้ น.ส.แพทองธาร ไปพูดคุยด้วย
ขณะที่ผลพวงจากการที่นายทักษิณ ไปปราศรัยหาเสียง ชิงเก้าอี้นายก อบจ. ก็ยังสร้างผลกระทบต่อเนื่อง โดย “นายวสันต์ ภัยหลีกลี้” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาเปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของนายทักษิณ ในลักษณะ เหยียดเชื้อชาติและสีผิว ของคนแอฟริกันนั้น กสม.มีความห่วงกังวลต่อการกระทำดังกล่าวอันเป็นการลดทอนคุณค่า และ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของ อนุสัญญาระหว่างประเทศ ด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับโดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติ ทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ การปราศรัยดังกล่าว แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็น ส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็น บุคคลสำคัญทางการเมือง และมีอิทธิพลต่อสังคม การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใด เหนือกว่า ชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และ เป็นอุปสรรคสำคัญ ต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จาก บทเรียนในอดีต ของมนุษยชาติซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว และเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิด การละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายแรงและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
นั่นหมายความว่า แม้การเดินสายไปปราศรัยหาเสียงของ “นายทักษิณ” แม้จะเป็นคุณกับ ผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรค พท. แต่ก็อาจสร้างปัญหาได้เช่นเดียวกัน หากขัดกับหลักกฎหมาย และแนวทางขององค์กรอิสระที่วางหลักเกณฑ์ไว้
“ทีมข่าวการเมือง”