เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ตลอดแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยมีคลื่นลมแรงพัดกระหน่ำเข้าหาฝั่ง และมีน้ำทะเลหนุนสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ ต.แหลมตะลุมพุก, ต.ปากพนัง ฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง อย่างหนัก จนประชาชนต้องรีบขนย้ายข้าวของอพยพหนีภัยพิบัติกันจ้าละหวั่นชุลมุนวุ่นวาย นับเป็นการประสบภัยพิบัติซ้ำซ้อนหลังจากที่ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ได้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในพื้นที่ทั้ง 23 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช และผ่านมาแค่ 10 กว่าวันก็มาเกิดภัยพิบัติน้ำทะเลหนุน ลมพายุพัดกระโชกแรงซ้ำอีกครั้งดังกล่าว

ขณะที่นายกิตติพงษ์ รองเดช นายอำเภอปากพนัง ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่นายไพโรจน์ (ไพรี) รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นแกนนำในการเรียกร้องแนวคันกันคลื่นและโฉนดทะเล ได้ลงพื้นที่เพื่อร่วมช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

นายไพโรจน์ กล่าวว่า ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำทะเลหนุนและคลื่นยักษ์พัดถล่มตลอดแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยในอำเภอปากพนัง สร้างความเสียหาย และเดือดร้อนให้ประชาชนในพื้นที่มายาวนานเกือบ 40 ปี โดยตนได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลสร้างแนวคันกันคลื่น หรือ “เขื่อนกันคลื่น” มาโดยตลอด เพราะคลื่นได้ซัดกัดเซาะที่ดินและบ้านเรือนของชาวบ้านตลอดแนวชายฝั่งกลายเป็นทะเลไปร่วมไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่ หลายร้อยหลังคาเรือน จนช่วงระหว่างปี 2558 ถึง 2559 สื่อมวลชนโดยเฉพาะ “หนังสือพิมพ์เดลินิวส์” ได้เกาะติดนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง จนรัฐบาล คสช. อนุมัติงบประมาณกว่า 2 พันล้านมาสร้างแนวคันกันคลื่นตลอดแนวชายฝั่งปากพนัง-หัวไทร รวมกว่า 20 กม.ในพื้นที่ 6 ตำบล

“อย่างไรก็ตามในพื้นที่ระหว่างตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก-ตำบลแหลมตะลุมพุก ระยะทาง 8 กิโลเมตร ยังไม่ได้มีการก่อสร้างแนวคันกันคลื่น เนื่องจากติดปัญหาในข้อกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ และหากยังไม่เริ่มดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าอีก 2-3 ปี คลื่นจะพัดกัดเซาะจนแหลมตะลุมพุก ถูกตัดขาดจากพื้นแผ่นดินใหญ่ จากแหลมตะลุมพุกจะกลายเป็น “เกาะตะลุมพุก” ไปโดยปริยาย จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ปัญหาและเริ่มสร้างแนวกันคลื่นในพื้นที่ 8 กิโลเมตรที่เหลืออย่างเร่งด่วนที่สุด”

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะทางที่มีการสร้างแนวกันคลื่นขึ้นแล้วกว่า 20 กิโลเมตร ปัญหาน้ำทะเลหนุนและคลื่นยักษ์ซัดกัดเซาะหมดไป โดยที่ดินของชาวบ้านงอกกลับคืนมาเกือบทั้งหมด ประชาชนที่เคยอพยพหลบหนีไปอยู่ที่อื่น กลับมาสร้างบ้านเรือนในพื้นที่เดิม และอยู่อาศัยกันอย่างปกติสุข

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในพื้นที่ ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ก็ประสบปัญหาน้ำทะเลหนุนลมพัดกระโชกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน จนในขณะนี้ น้ำทะเลที่หนุนสูงได้ไหลบ่าเข้าท่วมถนนทุกสาย รวมทั้งบ้านเรือนของพี่น้องประชาชน สูงกว่าช่วงน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมาเสียอีก นายปรีชา แก้วกระจ่าง หรือกำนันชา นายกเทศมนตรีตำบลปากนคร ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ออกช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องและประกาศเตือนภัยให้ประชาชนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้เร่งอพยพหลบหนีออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน.