เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่รัฐสภา ฝั่งสว. สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 22 จังหวัด สมาคมภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน สมาคมนักตกปลา นักดำน้ำ รวมถึงเครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ในประเทศไทยกว่า 500 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดต่อสมาชิกวุฒิสภา เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาทบทวน และยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ซึ่งสาระสำคัญจะทำให้เกิดการประมงอวนตาถี่ด้วยวิธีล้อมจับในเวลากลางคืนได้ และกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล

โดยนายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 ถูกตราขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการจับสัตว์น้ำเกินกำลังการผลิตของทะเล รวมทั้งการค้ามนุษย์ และการละเมิดสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมการประมงของประเทศไทย ซึ่งทำให้ประมงไทย และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกและให้การรับรอง แต่ปรากฏว่าสภาผู้แทนราษฎร กลับแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ผ่านการออกร่างพ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.ก.กำหนดการประมงฯ ด้วยคะแนนเสียงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ ซึ่งกรณีดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้ภาคการประมงทางทะเลของประเทศไทย กลับสู่การประมงที่ปราศจากความรับผิดชอบเช่นในอดีต รวมทั้งเกิดผลกระทบในเชิงลบต่อระบบนิเวศทะเล และความยั่งยืน รวมถึงการรักษามาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมการประมงของประเทศ

นายวิโชคศักดิ์ กล่าวว่า ในร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว มีการแก้ไขสาระสำคัญในหลายประเด็น เช่น การยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในอุตสาหกรรมการประมงทั้งหมด การอนุญาตให้อวนล้อมที่มีขนาดตาอวนต่ำกว่า 2.5 ซม. สามารถทำการประมงในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเครื่องมือประมงที่ถูกห้ามใช้มากว่า 40 ปี เนื่องจากส่งผลให้เกิดการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนในปริมาณมาก อันอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสมดุลของห่วงโซ่นิเวศ การปรับเปลี่ยนบทบัญญัติที่กำหนดให้ศาลสั่งริบเรือ และเครื่องมือประมงในกรณีฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง เปลี่ยนเป็นการให้ศาลมีดุลพินิจในการสั่งริบเรือ และเครื่องมือได้หรือไม่ก็ได้ รวมทั้งการลดโทษปรับลงเหลือเพียงร้อยละ 10 ของอัตราโทษเดิม

“ยืนยันว่าการออกมาร่วมกันคัดค้านแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เป็นประเด็นเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และความยั่งยืนทางอาหาร พวกเราจึงมาเรียกร้องต่อ สว.ซึ่งถือเป็นที่พึ่งสุดท้าย กรุณานำมาตรา 69 กลับมาพิจารณาใหม่ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่สร้างผลกระทบให้กับประชาชน และผู้บริโภค ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกนี้อนุญาตให้อวนที่ตาถี่ขนาดนี้ทำการประมง เพราะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำ ถือเป็นมาตรฐานตามหลักสากลที่ทุกประเทศตระหนักและยึดถือกันมาตลอด มีแต่ประเทศไทยประเทศเดียวที่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตเหมือนกับกำลังถอยหลังกลับไปในยุคหลายสิบปีก่อน” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

ด้านนายจิรศักดิ์ มีฤทธิ์ ประมงพื้นบ้านอ่าวคั่นกระได จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การแก้ไขมาตรา 69 นับเป็นข้อกังวลของชาวประมงแทบทั่วประเทศ เพราะที่ผ่านมาประมงพื้นบ้านมีความพยายามในการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ด้วยการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่ถูกกฎหมาย ไม่ทําลายระบบนิเวศ แต่รัฐกลับจะอนุญาตให้เครื่องมือที่ทำลายล้างสูงอย่างอวนมุ้ง มาทำการประมง ซึ่งส่งผลต่อการขยายพันธุ์สัตว์น้ำ โดยเฉพาะสัตว์น้ำขนาดเล็กที่จะถูกจับไปทั้งหมด ทั้งนี้การทำประมงใน จ.ประจวบฯ มีฤดูกาลเปิดอ่าว และปิดอ่าว ในช่วงปิดอ่าว ชาวประมงพื้นบ้านต่างร่วมมือร่วมใจไม่จับสัตว์น้ำในช่วงนี้ เพราะต้องการให้เกิดการขยายพันธุ์ แต่เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายแบบนี้ สิ่งที่ชาวบ้านทำจะไม่มีความหมาย ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นไปตามกระแสข่าวหรือไม่ว่าการแก้ไขมาตรา 69 มาจากแรงกดดันจากประมงพาณิชย์ ที่เป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมืองหรือไม่

“ในส่วนของอ่าวประจวบ หากร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ถูกใช้บังคับวันใด วันนั้นก็อาจจะถึงจุดจบของสัตว์น้ำหลายประเภท โดยเฉพาะลูกปลาทู และลูกปลาหมึก สองสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงหายไปจากอ่าวประจวบ เพราะสัญชาตญาณของลูกปลา เมื่อเห็นแสงไฟก็จะเข้ามาว่ายเล่นทําให้ถูกล้อมจับไป ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ไขอนุญาตอวนล้อมปั่นไฟปลากะตัก ที่มีตาอวนขนาดเล็กเพียง 6 มม.เท่านั้น นั่นหมายความว่า เรือจับปลากะตักสามารถใช้แสงไฟล่อลูกปลา แล้วใช้อวนตาถี่ตักปลาไปได้ทั้งหมดทุกชนิด จะไม่มีอะไรเหลือรอดในทะเลเลย คำถามจึงเกิดขึ้นว่าการที่ชาวบ้านหยุดจับสัตว์น้ำในช่วงฤดูปิดอ่าวนาน 3-5 เดือน เราทําไปเพื่อให้ประมงพาณิชย์ได้กอบโกยหรือ” นายจิรศักดิ์ กล่าว

สำหรับข้อเสนอนั้น ประกอบด้วย 1. ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 69 ให้กลับไปใช้บทบัญญัติที่ตราไว้เดิมความว่า “ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม. ทำการประมงในเวลากลางคืน” 2. ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 10/1, 11, 11/1 ซึ่งเป็นการผ่อนคลายมาตรการคุ้มครองแรงงานเด็ก และแรงงานข้ามชาติในสถานประกอบการแปรรูปอาหารทะเล 3. ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 85/1 ซึ่งคือการกลับมาอนุญาตให้ขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลระหว่างเรือประมง 4. เสนอผู้แทนจากประมงพื้นบ้าน ผู้แทนองค์กรด้านแรงงาน ผู้แทนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.ก.การประมงฯ จำนวน 3 คน และ 5. ขอให้กมธ.วิสามัญที่จะตั้งขึ้นพิจารณาแต่งตั้งที่ปรึกษาจากนักวิชาการด้านการประมง ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล และด้านแรงงานเป็นที่ปรึกษากมธ.วิสามัญฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อสมาชิกวุฒิสภา เครือข่ายชาวประมง ยังมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ใครกันนะขโมยปลาปิ้ง?”  โดยการปิ้งปลาลอตสุดท้ายที่กำลังจะหายไปจากทะเลไทย พร้อมกับการมาของอวนยักษ์ที่จะมาขโมยปลาไปจากทะเลไทย และร่วมกันรับประทานปลาปิ้งกับชาวประมงพื้นบ้าน พร้อมเวทีปราศรัย “อนาคตของทะเลไทยจะแย่แค่ไหนหากกฎหมายประมงใหม่ผ่านสภา” โดยตัวแทนชาวประมงไทย จากนั้นเวลา 13.00 น. มีกิจกรรม “ร่วมกันตามหาปลาที่หายไป” ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ก่อนที่ในเวลา 16.00 น. จัดกิจกรรม : ร่วมกันตามหาปลาที่กำลังจะหายไป ที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจอย่าง  “ร่วมกันหยุดอวนมุ้งยักษ์ที่กำลังจะทำให้ปลาหายไปจากทะเลไทย” โดยกลุ่มศิลปินคอมมูนิตี้อาร์ต (ศิลปะเพื่อชุมชน) กิจกรรมล่ารายชื่อปกป้องลูกปลากับกลุ่มนักดำน้ำไทย ร่วมชิมปลาปิ้งจากทะเลไทยลอตสุดท้ายที่กำลังจะหายไปจากทะเลไทย ร่วมรับฟังข้อเท็จจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับลูกปลาทะเลไทยหากกฎหมายฉบับใหม่ผ่าน และฟังเรื่องเล่า “โลกใต้น้ำจะเปลี่ยนไปหากกฎหมายผ่านสภา” โดย กลุ่มนักดำน้ำ “ไทยเราจะมีปลาให้ตกอีกหรือไม่หากกฎหมายประมงใหม่ผ่านสภา” โดยกลุ่มนักตกปลาแห่งประเทศไทย และ “ประมงไทยจะเปลี่ยนไปแค่ไหนหากกฎหมายประมงใหม่ผ่านสภา” โดยตัวแทนชาวประมง.