เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประมงปี 2558  ในวาระรับหลักการ

โดยนายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า ในร่างกฎหมายฉบับนี้มีแก้ไข 71 มาตรา 24 ประเด็นเพื่อจัดระเบียบการประมงในประเทศไทย และน่านน้ำทั่วไปเพื่อป้องกันไม่ให้มีการทำการประมงโดยผิดกฎหมาย เพื่อรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในภาวะเป็นแหล่งอาหารของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน และรักษาสภาพแวดล้อมให้ดำรงอยู่อย่างเหมาะสม รวมทั้งคุ้มครองสวัสดิภาพของคนประจำเรือและป้องกันการใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นให้เกิดความเหมาะสม ทั้งนี้แก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านด้วยการกำหนดเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ยกเลิกบทบัญญัติที่ห้ามผู้ได้รับใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้านทำประมงในเขตทะเลนอกชายฝั่ง เพื่อไม่ให้เป็นการจำกัดสิทธิของประมงพื้นบ้าน แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การขออนุญาตและการขออนุญาตทำการประมงในเขตทะเลนอกเหนือน้ำไทย เป็นการส่งเสริมประมงไทยที่มีศักยภาพที่ต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

นายอัครา กล่าวว่า แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการออกประกาศห้ามไม่ให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำหรือนำสัตว์น้ำขึ้นเรือประมง ให้การออกประกาศห้ามจับสัตว์น้ำ หรือนำขึ้นเรือประมง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ เพิ่มข้อยกเว้นให้สามารถใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม. ทำการประมงในเวลากลางคืนตามหลักเกณฑ์และประกาศกำหนด ที่ต้องกำหนดเรื่องใช้แสงล่อไว้ด้วย ปรับปรุงการกระทำที่กำหนดเป็นการทำประมงฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง แยกการทำประมงนอกน่านน้ำไทย และการประมงในน่านน้ำไทย พร้อมปรับปรุงบทกำหนดโทษโดยลดอัตราโทษ จากปรับสูงสุดไม่เกิน 30 ล้านบาท เป็นปรับสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือปรับจำนวน 5 เท่าของจำนวนมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมงแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งผู้ที่กระทำความผิดนี้จะถูกลงโทษ 5 เท่าของมูลค่าที่ได้สร้างความเสียหายต่อทรัพยากร และยังต้องโทษปรับตามขนาดเรือที่กระทำความผิดตามหลักสากล เป็นการลงโทษต่อ 1 คน ไม่ใช่เรือ 1 ลำ

“ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากกฎหมายนี้ จะมีผลเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง ผู้ประกอบอาชีพการประมงโดยสุจริตให้ได้รับความเป็นธรรมโดยเฉพาะการปรับปรุงบทกำหนดโทษให้สอดคล้องกับสภาพความร้ายแรงของการกระทำความผิด ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพการประมงและอุตสาหกรรมการประมงของประเทศฟื้นตัวอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับพันธะกรณีของประเทศ ควบคู่กับการรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อเป็นแหล่งอาหารต่อไป“ นายอัครา กล่าว

ด้านนายธวัช สุระบาล สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ ของวุฒิสภา รายงานว่า เหตุผลในการแก้ไขกฎหมาย เนื่องจากมีบางมาตราไม่สอดคล้องกับการประกอบอาชีพการทำประมงในประเทศไทย และไม่ขัดต่อหลักการทำประมงสากลตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ โดยในมาตรา 69 วรรคสอง ที่มีการกำหนดให้มีการทำประมงนอกเขต 12 ไมล์ทะเล ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวต้องกำหนดในเรื่องการใช้แสงไฟล่อไว้ด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ จะต้องมีการระมัดระวังและรัดกุมอย่างยิ่ง และการใช้ไฟนั้น อาจส่งผลให้มีการจับสัตว์น้ำที่ไม่ได้อยู่ในเป้าหมาย และสัตว์น้ำวัยอ่อน ดังนั้นต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนในการกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายควรแยกความผิดเป็น 2 กรณี คือ ในน่านน้ำไทยและทะเลนอกน่านน้ำไทย เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย

ทั้งนี้หลังเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็นว่าร่างกฎหมายการประมง เปิดให้ใช้อวนตาถี่จับสัตว์น้ำในเวลากลางคืน หวั่นจับลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน โดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สว. แสดงความกังวลว่าจะทำให้เกิดปัญหาตามมาในหลายมิติ เช่น ลดทอนโอกาสในตลาดเศรษฐกิจ โดยหยิบยกการแก้ไขเปิดให้ใช้อวนตาถี่น้อยกว่า 2.5 ซม จับสัตว์น้ำตอนกลางคืนในระยะกว่า 12 ไมล์ทะเลได้ เพื่อเปิดให้ประมงพาณิชย์จับปลากะตักได้มากขึ้น แต่จะทำให้จำนวนสัตว์น้ำทางเศรษฐกิจลดลง โดยเฉพาะการเปิดไฟล่อจับ ทำให้ในอนาคตจะจับสัตว์น้ำได้น้อยลง เกิดกรณีวิกฤติปลาทูไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ที่ไทยจะต้องนำเข้าร้อยละ 90 จึงเห็นว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เป็นการแก้ไขให้กับเฉพาะกลุ่มด้านเศรษฐกิจในกลุ่มระยะสั้น แต่ในระยะยาว กลุ่มภาคเศรษฐกิจประมง ทั้งประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรมแปลรูปอาหารทะเล จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการลดลงของสัตว์น้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่นายเศรณี อนิลบล สว. นำอวนตาถี่และปลาทูขนาดเล็ก 1 กก. มาประกอบการอภิปรายว่า กลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาชุมนุมเรียกร้องบริเวณหน้ารัฐสภาคือ กลุ่มประมงพาณิชย์ กับกลุ่มประมงพื้นบ้าน จาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ การแก้ไขมาตรา 69 ทำให้เกิดความไม่สบายใจและเป็นห่วง โดยเฉพาะการเปิดให้จับในเวลากลางคืน ให้มีไฟล่อตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่ประกาศ การนำอวนตาถี่มาทำประมงเช่นนี้ จะทำให้มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นการตัดตอนการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน อีกทั้งเป็นการทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศอย่างร้ายแรง ส่วนปลาทูขนาดเล็ก 1 กก. ที่นำมา ซึ่งตนนับมาแล้วมีปลาทูจำนวน 1,000 ตัว เป็นปลาแห้ง มีปลาชิงชัง ปลากะตัก ไม่ถึงครึ่ง มีปลาทรายแดง ลูกกุ้ง ลูกปู และลูกหมึกปนมาด้วยใน 1 กก. ราคา 100 บาท หากปล่อยให้มีการทำประมงแบบนี้ จะส่งผลต่อสัตว์น้ำขนาดเล็ก และการปฏิบัติตามกฎหมายนี้ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระทำผิดตามกฎหมาย แต่กรมประมงไม่สามารถตรวจจับเอาผิดได้

“มีคนเขานินทา เขาบอกว่าถ้าจะทำแบบนี้ต้องไปจ่ายตรงนั้นตรงนี้ อันนี้ผมไม่ได้พูด ผมฟังเขาพูดกันมาเขานินทากันว่าเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการออกกฎหมายข้อนี้จะบังคับได้หรือไม่” นายเศรณี กล่าว

ทั้งนี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ชี้แจงว่า ปลากะตักเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็กที่มีอายุขัย 1 ปี ซึ่งสัตว์น้ำจะเกิดใหม่อย่างรวดเร็วหากมีการบริหารจัดการที่ดี ทุกปีกรมประมงเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อประมวลจำนวนสัตว์น้ำในท้องทะเล แบ่งสัตว์น้ำเป็น 3 กลุ่ม สัตว์หน้าดิน-ปลาผิวน้ำ-ปลากะตัก ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการพบว่า 1 ปี จับได้ 2.1 แสนตัน และมีการนำไปพิจารณาออกใบอนุญาตจับสัตว์น้ำ โดยกรมประมงจะต้องนำข้อมูลทั้งหมดไปขอความเห็นชอบและกลับมาสู่กระบวนการตามกฎหมาย วิธีประเมินประสิทธิผลทางกฎหมาย คือการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง หากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอ จำเป็นต้องใช้การทดลองทางวิชาการหรืออิงจากสถาบันใดเข้ามาช่วยก็ต้องมีการช่วยกันเพื่อนำทรัพยากรอันมีค่ามาใช้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เป็นการเสนอจากพรรคการเมืองและ ครม. ผ่านกลไกของรัฐสภา เป็นการสร้างบริบทในการยอมรับบริบทของประเทศไทยในการใช้ทรัพยากร และไม่ได้ขัดต่อพันธะกรณีระหว่างประเทศ และมั่นใจว่าการบังคับใช้กฎหมายสามารถดำเนินการได้ตามที่มีการแก้ไขปรับปรุง

จากนั้นที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นด้วย 165 ไม่เห็นด้วย 11 งดออกเสียง 7 ไม่ลงคะแนน 1 โดยตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณา 21 คน แปรญัตติภายใน 7 วัน ทั้งนี้ใน กมธ.วิสามัญฯ ไม่มีตัวแทนจากภาคประชาชนตามข้อเรียกร้องของกลุ่มประมงและภาคประชาชน โดยระบุว่าจะตั้งเป็นที่ปรึกษา กมธ. แทน.