เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ที่ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท จ.เชียงใหม่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ( สก.สว. ) พร้อมภาคีเครือข่าย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดแผนเพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 ระยะ 5 ปี ของจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยวิจัย นวัตกรรม และกลไกภาคี PES ( Payment for Ecosystem Service ) โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดการประชุม โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การกำหนดให้ใช้มาตรการหยุดเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ โดยต้องอาศัยความรู้ด้านวิจัย นวัตกรรมมาช่วยให้ความรู้หาวิธีกำจัดเศษซากวัสดุทางการเกษตรต่าง ๆ ทดแทนการเผาทำลาย โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นเรื่องดี ในฐานะหัวหน้าทีมฝ่ายปฏิบัติยินดีจะได้รับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และนวัตกรรมจาก กองทุน ววน. เพื่อให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ร่วมทำงานแก้ปัญหาไปพร้อมกัน
จากนั้น นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ( กสว. ) ขึ้นปาฐกถา เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 8 เป้าหมายสำคัญ ของ กสว. และการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 มุ่งเป้าภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด โดยกล่าวว่าว่า จากนโยบายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกสว. 8 เป้าหมายสำคัญ หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทยต้องปลอดจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในปี 2569 และกำหนดพื้นที่เบื้องต้นใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยเป็นการขยายผลของการนำเอางานวิจัยมาใช้แก้ไขปัญหาฝุ่นควันPM 2.5 ทำงานแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “SRI for ALL” ของ ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่นำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหา เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา

ประธาน กสว. กล่าวว่า ส่วนเหตุผลที่จัดงานครั้งนี้ในจังหวัดเชียงใหม่เพราะเป็นเมืองที่สำคัญในมิติเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของประเทศ และยังอยู่ภายใต้เป้าหมายของการนำงานวิจัยไปตอบโจทย์ปัญหาที่กำลังเผชิญและต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5
“ปัจจุบันทั้งภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้เร่งระดมหาทางออกให้กับจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดวิกฤตเมืองที่มีค่ามลพิษติดอันดับโลกให้กลับสู่ภาวะปกติ เอื้อต่อการอยู่อาศัย การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และความเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ พร้อมส่งเสริมให้เป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม”
นายแพทย์สิริฤกษ์ กล่าวว่า สกสว.และหน่วยงานภาคีจัดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ขึ้น นำไปสู่เป้าหมายดังที่กล่าวมา ถือเป็นการ “คิกออฟ” กระบวนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือตอนบนอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งทางกองทุน ววน. ได้จัดสรรงบประมาณในการแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 พื้นที่ จ.เชียงใหม่ ในปีงบประมาณ 2566 – 2567 ประมาณ 130 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2568 ขยายพื้นที่ครอบคลุม 8จังหวัดภาคเหนือตอนบน งบประมาณทั้งสิ้น 450 ล้านบาท และคาดว่าจะจัดสรรงบฯเพิ่มเติมอีกในปีต่อไปอีก 450 ล้านบาท รวม 2 ปี 900 ล้านบาท
นายแพทย์สิริฤกษ์ กล่าวต่อว่า กสว.จะต้องเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บรรลุผลภายใน 2 ปี โดยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ไปจนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2569 มีเป้าหมายคือ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนจะต้องปลอดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และไร้หมอกควัน ในเบื้องตัน ได้วางแผนปฏิบัติการ 3 ขั้น
1.จำนวนวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ไม่เกิน 50 วัน/ปี
2.ลดจำนวนสถิติผู้ป่วย COPD ที่แอดมิทครั้งแรก จากสาเหตุฝุ่นไม่ให้เกิน 1,000 คน/ปี
3.ลดจำนวน Hotspot (จากแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 จากการเผาในที่โล่ง) ที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม่เกิน 4,000 จุด/ปี
ด้าน ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผอ.สกสว. กล่าวว่า สกสว.ในฐานะเลขา กสว. มีบทบาทในการนำองค์ความรู้งานวิจัย และนวัตกรรมมาใช้แก้วิกฤต PM 2.5 โดยที่ผ่านมา ระบบ ววน. มีการแผนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนงานวิจัยเพื่อ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 มา อย่างต่อเนื่อง 1) แผนงาน Haze Free Thailand และปัญหา PM2.5 (สนับสนุนทุนในปี2563-2567) 2) แผนงาน P24 แก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยมุ่งประเด็นวิจัยนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนฝุ่นละออง PM 2.5 แบบมุ่งเป้าและบูรณาการ (สนับสนุนทุนในปี2566-2567) ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานจากหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม (PMUs) ทั้งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) ร่วมกันโดยกำหนดกลุ่มการดำเนินงานเป็น Work Package (WP) ตามมิติการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการการขยายผลเพื่อบูรณาการความร่วมมือและสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ต่อไปในยุทธศาสตร์เป้าหมายของ สกสว.
ผอ.สกสว. กล่าวด้วยว่า แม้จะมีความพยายามสนับสนุนการแก้ปัญหาฝุ่นด้วย ววน. หรือ วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม มาโดยตลอด แต่ก็ยังมีดีมานด์จากหลายภาคส่วนที่ยังเป็นช่องว่างของการแก้ปัญหาและต้องการการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การศึกษาและการแก้ปัญหา PM2.5 จากแหล่งกำเนิดทติยภูมิ ในปัจจุบันการแก้ปัญหาฝุ่นจากแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาจากแหล่งกำเนิด “ฝุ่นปฐมภูมิ” คือฝุ่นจากการเผาไหม้เชื้อพลิงเศษวัสดุเกษตร หรือฝุ่นจากไฟป้า แต่ยังมีแหล่งกำเนิดสำคัญที่ต้องการการศึกษาและแก้ไขอย่างเร่งด่วนเช่นกัน คือ “ฝุ่นทติยภูมิ” จากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (502) ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์(NOX) ก๊าซแอมโมเนีย (NH3) และกลุ่มก๊าซสารอินทรีย์ระเหยง่ายจากการคมนาคม อุตสาหกรรม การเกษตร จากการปลดปล่อยของผืนป่าในธรรมชาติหรือมหาสมุทรที่สามารถเคลื่อนตัวข้ามทวีปได้ซึ่งกระบวนการเกิดฝุ่นทุติยภูมิ สัดส่วนของปริมาณฝุ่นทุติยภูมิ และแนวทางบริหารการจัดการ ยังต้องการการศึกษาและพัฒนาเป็นมาตรการและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อไป
“ในเดือนมกราคม 2568 นี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เตรียมติดตั้งอุปกรณ์ ACSM (Aerosolhemical Speciation Monitor) ตรวจวัดองค์ประกอบทางเคมีของ PM 2.5 เพื่อแหล่งกำเนิด วิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของการเกิด PM 2.5 ประเดิมติดตั้ง ประเดิมติดตั้ง 3แห่ง คือ เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และสงขลา ภายในปี 2568”
ศ.ดร.สมปอง กล่าวว่า ในด้านการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความคุ้มทุนเชิงเศรษฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง นอกจากการใช้เทคโนโลยีในการแก้ไขปัญหาแล้ว ระบบ ววน. ยังมีเป้าหมายการใช้ประโยชน์งานผลงานวิจัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคมและนโยบายเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาจากรากเหง้า ทั้งความคุ้มค่าคุ้มทุนของการใช้เทคโนโลยีในแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่การสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรรวบรวมเศษวัสดุมาส่งต่อให้กลุ่มธุรกิจและได้ค่าตอบแทนที่คุ้มการลดต้นทุนเครื่องจักรขนาดเล็กสำหรับเกษตรกรรายย่อย การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในการขนส่งชีวมวล และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญคือการสานพลังประชาชนให้ตระหนักและเข้าใจรวมถึงยินดีซื้อสินค้าเกษตรจากแหล่งเพาะปลูกและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการปลูกพืชให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากนี้ในการประชุมจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อหาช่องว่างของปัญหา และแนวทางการทำงานร่วมกับโครงการที่ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมได้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนความต้องการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในระบบวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (ววน .) ให้ร่วมแก้ปัญหาอย่างมีเป้าหมายและเป็นรูปธรรม มีการติดตามผลในแต่ละโครงการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นพื้นที่ปฏิบัติการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจาก สกสว.อย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในเรื่องการลดฝุ่นจากต้นกำเนิดการเผาในพื้นที่เกษตร การลดไฟในป่า การลดฝุ่นควันข้ามแดน และการบูรณาการฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจระดับพื้นที่ ตลอดจนการใช้กระบวนการวิจัยในการสร้างความเข้มแข็ง สร้างนักวิจัยชุมชน การสื่อสารสาธารณะ และการแก้ปัญหาเชิงนโยบาย โดยผลจากงานวิจัยส่วนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ได้นำไปใช้ในการสนับสนุนการยกร่าง “พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” ที่มีดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมาธิการและประธานอนุกรรมาธิการเป็นผู้ผลักดันให้การทำงานในพื้นที่มีเป้าหมายชัดเจนเป็นรูปธรรม