เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่อาคารมหิตลาธิเบศร นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) พร้อมมวลชน เดินทางยื่นหนังสือเพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีเรียกเอกสารประวัติการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีความเจ็บป่วยวิกฤติรุนแรงจน รพ.ราชทัณฑ์ ไม่สามารถรักษาได้ จนต้องส่งมารักษาที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยมีผู้แทนฝ่ายกฎหมายของแพทยสภาเป็นผู้รับมอบหนังสือ

นายพิชิต กล่าวว่า เนื่องจากสังคมมีข้อสงสัยกในการรักษาตัวของนายทักษิณ รวมถึงคณะแพทย์เองก็มีข้อสงสัย จึงได้ส่งหนังสือยื่นต่อแพทยสภาให้ตรวจสอบ กระทั่งแพทยสภาเห็นพิรุธและตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา ดังนั้นวันนี้สังคม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และแพทยสภาร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว และวันนี้ครบกำหนดเส้นตายที่แพทยสภาให้ รพ.ตำรวจส่งเอกสารทางการแพทย์ กรณีการรักษาตัวองนายทักษิณมาให้ เราจึงเดินทางมาให้กำลังใจแพทยสภา ในการเดินหน้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่นายทักษิณอ้างว่าเจ็บป่วยต้องรักษาตัวนานกว่า 180 วัน เพื่อพิสูจน์ว่าการป่วยนั้น ป่วยทิพย์หรือไม่ ป่วยอย่างไร ซึ่งแพทยสภาก็มีหน้าที่ตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงให้กำลังใจเดินหน้าพิสูจน์ความจริง รักษากระบวนการยุติธรรม รักษาอาการป่วยของประเทศไทย หากไม่กระจ่าง เราก็ตั้งคำถามอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม แพทยสภาอยู่ใกล้ชิดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีรัฐมนตรีที่อยู่ภายใต้สังกัดพรรคเพื่อไทย จึงกลัวว่าจะมีการแทรกแซงทางการเมือง กดดันแพทยสภา ทำให้แพทยสภากลายเป็นองค์กรฟอกความผิดเสียเอง จึงหวังว่าแพทยสภาจะยึดมั่น รักษามั่นใจจรรยาบรรณของแพทย์   

“ถ้าวันนี้เรื่องนี้ผ่านไป คนที่ป่วยจริงๆ คือกระบวนการยุติธรรม คนที่ป่วยคือประเทศไทย วันนี้แพทยสภาเป็นทางออก ทางรอดหนึ่งที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้สังคมได้อย่างชัดเจน แล้วฉีดยาความจริงให้สังคม ซึ่งความจริงนั้นอยู่ที่เวชระเบียนที่จะช่วยรักษากระบวนการยุติธรรม วันนี้เรามาให้กำลังใจ และมีความห่วงใยว่าจะมีการเมืองแทรกแซงแพทยสภา หากแพทยสภาปล่อยให้การเมืองแทรกแซงได้ แพทยสภาก็จะกลายเป็นองค์กรฟอกความผิดให้นายทักษิณ กลายเป็นตราประทับ ตราบาปชนิดหนึ่ง แต่ผมเชื่อมั่นว่าด้วยจรรยาบรรณของแพทย์ ด้วยวิชาชีพของแพทย์ จะรักษาจรรยาบรรณให้ถึงที่สุด ด้วยการพิสูจน์ความจริงให้สังคมได้ทราบว่า มีคณะแทพย์ชุดหนึ่งร่วมกันปกปิดอาการป่วยองนายทักษิณหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่ รพ.ตำรวจ” นายพิชิต กล่าว  

นายพิชิต กล่าวต่อว่า ท่าทีที่ผ่านมา ทาง รพ.ตำรวจ จะไม่ส่งเวชระเบียนมาให้หน่วยงานตรวจสอบตามที่ร้องขอมาตลอด ขนาดว่า ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสภาพบังคับตามมีกฎหมายที่สามารถเรียกเอกสารจากทุกหน่วยงานได้ มากกว่าแพทยสภา ทาง รพ.ตำรวจ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังไม่ส่งให้ ดังนั้นหากภายในวันนี้ (15 ม.ค. 2568) แล้วยังไม่ส่งมา ทาง คปท. ก็จะนัดหมายรวมตัวกันไปทวงถามจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี วันที่ 21 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบนิติรัฐนิติธรรมมาโดยตลอด ซึ่งจะมีหลายคณะร่วมกันไปทวงถามด้วย ทั้งอดีตแกนนำพันธมิตร แกนนำกปปส. แกนนำ นปช. เป็นต้น  

แกนนำ คปท. กล่าวอีกว่า สิ่งที่เรายืนยันมาตลอดคือรัฐบาลต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่รัฐบาล น.ส.แพรทองธาร และก่อนหน้านี้เราเคยสื่อสารไปถึงรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน โดยเรามีการตั้งคำถามถึงอาการป่วยทิพย์ของนายทักษิณ ที่เข้ารักษาตัวกว่า 180 วัน โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งการป่วยของนายทักษิณ อยู่ในอำนาจของ พ.ต.อ.ทวี ตั้งแต่ 120 วันแรก ในการรักษาตัว ซึ่งสามาถรพิจารณาได้ พอ ป.ป.ช. ตั้งองค์คณะมาตรวจสอบข้าราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหน้าที่ที่ พ.ต.อ.ทวี ต้องรับผิดชอบทางการเมือง ก่อนหน้านี้ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยซ้ำไป เพราะทำให้กระบวนการยุติธรรมภายใต้การบริหารงานของตัวเองบิดเบี้ยว แต่เมื่อไม่ลาออก เราก็ต้องสื่อสารไปยังนายกฯ ว่าจะจัดการระบบนี้อย่างไรให้เกิดคาวมยุติธรรม รัฐบาลต้องทำหน้าที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ ต้องสั่งให้ รพ.ตำรวจ นำเวชระเบียนส่งให้ ป.ป.ช. และแพทยสภา เมื่อความจริงกระจ่าง ท้ายที่สุด รัฐบาลต้องยึดมั่นใจกฎหมาย เอานายทักษิณกลับเข้าเรือนจำทันที 

ผู้แทนฝ่ายกฎหมายแพทยสภา กล่าวว่า ขอบคุณกำลังใจที่มาวันนี้ พร้อมตั้งข้อสังเกตการทำงาน ซึ่งตนจะนำเรื่องส่งถึงผู้บริหารต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า แพทยสภาเป็นองค์กรตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม กรรมการแพทยสภามาจากการเลือกตั้งของสมาชิก ไม่ได้ขึ้นตรงกับกระทรวงสาธารณสุข จึงยืนยันว่าไม่ได้มีการเมืองแทรกแซง ส่วนเอกสารการรักษาของนายทักษิณ ที่มีการขอไปที่ รพ.ตำรวจ นั้น ยังต้องรอจนถึงตอนเย็นวันนี้ ส่วนรายละเอียดและความคืบหน้าของการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น เป็นหน้าที่ของอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมา รายละเอียดยังเป็นความลับ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วหากในวันนี้ยังไม่มีการส่งเอกสารมาให้ตามที่มีการเรียกไป ทางอนุกรรมการก็พิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่ หากเห็นว่าครบถ้วนก็ตัดสินได้เลย กับอีกทางหนึ่งหากมีการเชิญบุคคลก็ได้เป็นไปตามดุลพินิจของอนุกรรมการฯ