เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่รัฐสภา นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม.พรรคประชาชน แถลงหัวข้อ ‘ก้าวต่อไปในการผลักดันสุราก้าวหน้า ปลดล็อกเหล้าเบียร์ เพื่อโอกาสของผู้ประกอบการไทย’ ภายหลังสภามีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต วาระ 2 และ วาระ 3 ว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ก้าวต่อไปคือวุฒิสภา หากวุฒิสภาเห็นชอบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทางกรมสรรพสามิต หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ จะมีเวลาตามบทเฉพาะกาล 180 วัน ในการออกกฎหมายแก้ไข ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ ไม่น่าจะเกินภายในระยะเวลาครึ่งปี และมีผลบังคับใช้ในในเดือน ต.ค. 68
นายเท่าพิภพ กล่าวว่า ในฐานะประชาชน กว่า 2,917 วันตั้งแต่วันที่ตนโดนจับกุม หรืออีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ของเมื่อ 8 ปีก่อน ที่กลายเป็นผู้ร้ายทางกฎหมาย และสังคม ซึ่งในวันนั้น ตนคิดว่าทำไมประเทศนี้ ทำให้ดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ ทำไมประเทศนี้ แค่จะต้มเบียร์ขายเป็นไปไม่ได้เลยหรือ ตนก็หมดหวังเหมือนกับประชาชนในหลายเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องเบียร์อย่างเดียว แต่ตนก็ตั้งใจและสู้ต่อ จนได้โอกาสมาเป็นผู้แทนราษฎร พรรคโดนยุบไปก็ไม่เป็นไร พ.ร.บ.โดนเตะไปก็ไม่เป็นไร มาจนถึงวันนี้ เป็นฉันทามติให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้ทำตาม ต้องขอบคุณเครือข่ายสุราชุมชนทุกพื้นที่ และเครือข่ายคราฟต์เบียร์ทุกจังหวัด ที่ทำให้เรามีตัวตนในสังคมนี้
นายเท่าพิภพ ยังกล่าวว่า ในฐานะ สส. ต้องบอกว่า ตอนแรกเราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นเสียงส่วนน้อยของสภาแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งเพื่อผ่านกฎหมาย และวันนี้มันก็ผ่าน ตนรู้ถึงสิ่งที่ทุกคนบอกว่า แค่พูดเรื่องเบียร์ได้ก็เก่งแล้ว แค่นำเรื่องนี้เข้าสภาก็เยี่ยมแล้ว แต่ตนไม่เคยดูถูกตัวเองเลย ว่าจะเป็นกฎหมาย แล้ววันนี้ตนได้พิสูจน์แล้วว่า การเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้
นายเท่าพิภพ กล่าวต่อว่า อย่างพรรคประชาชนเราได้พูดเสมอว่า แม้ว่าเราเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่เราก็สามารถผลักดันประเด็นที่เราอยากผลักดันตามนโยบายของเราให้สำเร็จได้ และนี่คือบทพิสูจน์นั้น ที่ท่านจับต้องได้แน่นอน ไม่เคยมีฝ่ายค้านไหนในประวัติศาสตร์ประเทศไทยทำได้มาก่อน และตนไม่อยากให้เป็นครั้งสุดท้ายด้วย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายค้าน หรือแม้เสียงคุณจะมีจำนวนน้อยแค่ไหนในสภา แต่ถ้าคุณทำงานหนักมากพอ ตนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นจริงได้
“การที่ผมยืนอยู่ตรงนี้เป็นหลักฐาน และอยากเป็นกำลังใจให้กับประชาชนทุกท่าน ที่หลายคนถูกกดขี่อยู่ ไม่ว่าจะประเด็นใดก็ตาม หรือหลายคนที่คิดว่า โลกใบนี้ และประเทศไทยช่างสิ้นหวังเหลือเกิน อยากให้มองที่ผม และพวกเราพรรคประชาชน ว่าการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปได้ แม้ว่ามันจะยากแค่ไหน แม้ว่ามันจะล้มสักกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะใช้เวลานานสักกี่วัน เดือน หรือปี ถ้าคุณยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ มันทำได้ และเกิดขึ้นได้ วันนี้ผมคือประจักษ์พยานแห่งความจริงนั้น” นายเท่าพิภพ กล่าว
นายเท่าพิภพ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการต่อสู้เรื่องใบอนุญาตผ่านไปแล้ว แต่ยังต้องจับตาดูกฎกระทรวง และประเด็นอื่นๆ อีก อย่างเช่น เรื่องภาษี ว่าเราควรจะให้แต้มต่อกับผู้ประกอบการรายย่อยหรือไม่ รวมถึงเรื่องขนาดบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่อาจมีการผูกขาดที่ยังเป็นปัญหาอยู่ และเราต้องแก้ต่อไป
นายเท่าพิภพ กล่าวต่อว่า เป็นอำนาจของรัฐบาลที่สามารถทำได้ผ่านกฎกระทรวง และเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่จะศึกษาและออกกฎได้ ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3 เดือน ก็ทำได้ จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลว่า หากอยากทำเรื่องนี้จริง ก็ยังมีเป้าหมายต่อไปที่สามารถทำร่วมกันได้ และต้องขอขอบคุณ พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นเสียงข้างมาก โดยเฉพาะนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งได้ร่วมผลักดันกันมา แม้อยู่ต่างพรรค แต่เราก็ได้ทำงานร่วมกันหลายเรื่อง ถ้าเป็นประเด็นที่เป็นของประชาชน เราก็สามารถร่วมงานกันได้ ตนขอแสดงความนับถือจากใจจริง และคิดว่าจะได้ร่วมงานกันอีก
นายเท่าพิภพ กล่าวต่ออีกว่า ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมจับตาว่า แม้เรือลำนี้จะถึงฝั่งแล้ว แต่ตนยังมีเป้าหมายต่อไป คือการต่อเรือลำใหม่ ซึ่งจะพาคนตัวเล็กตัวน้อยไปให้ได้มากที่สุด โดยเรือลำนี้จะเรียกว่า พ.ร.บ.โรงแรมและที่พักค้างแรม ซึ่งยังมีปัญหาในการจดทะเบียนโรงแรมขนาดเล็กหรือโฮสเทล เพราะผูกติดกับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ร่างนี้มีการทำไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงการยื่นเข้าสู่สภา และเราจะนำเรื่องนี้ไปเสนอกับประชาชน ผ่านแคมเปญ เริ่มต้นที่ จ.ภูเก็ต เชียงใหม่ อยุธยา และพัทยา ในอนาคต ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงแม้จะมาเพียงแค่เล็กน้อย แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งพลังในอนาคตได้.