เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ทั้งนี้ในวาระกระทู้ถามสดด้วยวาจา นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข สส.ตาก พรรคกล้าธรรม ตั้งกระทู้ถาม เรื่องปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือ ต่อนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่มอบหมายให้นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ตอบแทน

นายภาคภูมิ กล่าวว่า เรื่องฝุ่นนี้ต้องพูดกันทุกปี มีปัญหากันทุกปี โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ จ.ตาก สาเหตุต่างๆ มาจากหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหมอกควันไฟป่า หมอกควันข้ามชาติ ฝุ่นละอองในการก่อสร้าง และที่สำคัญ จ.เชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่เป็นแอ่งกระทะ ทุกปีฝุ่นละอองจากทุกทั่วสารทิศ แม้กระทั่งประเทศอินเดียก็มารวมกองที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งทำลายภาพลักษณ์ทำลายการท่องเที่ยว สุขภาพประชาชน ที่ผ่านมา ครม.สัญจร นายกรัฐมนตรีก็มีการคิกออฟเรื่องนี้ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ โดยเฉพาะกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตนจึงอยากถามว่าในปีนี้ปริมาณสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่ภาคเหนือเป็นอย่างไร กรมฝนหลวงจะทำอย่างไร นอกจากทำฝนเทียมแล้ว ยังมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ใหม่ๆที่สามารถทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเหล่านี้
นายอิทธิ รมช.เกษตรฯ ชี้แจงว่า การบรรเทาฝุ่น PM 2.5 กรมฝนหลวงที่ทำในปัจจุบัน ไม่ใช่การสร้างฝนเพื่อชะล้างฝุ่นในชั้นบรรยากาศแต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิบัติการช่วยระบายอากาศและดูดซับฝุ่นละอองให้ออกจากชั้นบรรยากาศที่เราต้องการหายใจเข้า-ออกให้มากที่สุด ซึ่งชั้นบรรยากาศเปรียบเสมือนฟิล์มกันความร้อนไม่ให้ฝุ่นออกจากชั้นบรรยากาศ ดังนั้นกรมฝนหลวงทดลองเจาะชั้นบรรยากาศนี้ โดยใช้อากาศยาน 15 ลำ ดังนั้น การเจาะบรรยากาศทั่วประเทศเป็นไปไม่ได้ จึงต้องวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือตรวจวัดที่กรมฝนหลวงมีอยู่ โดยเริ่มตั่งแต่ 22 ธ.ค. 2567 จนถึงตอนนี้ ทำไปแล้ว 698 เที่ยวบิน ยืนยันว่ากรมฝนหลวงตั้งใจปฏิบัติการลดฝุ่นจนกว่าจะคลี่คลาย ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพประชาชน

นายอิทธิ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องนี้มีการใช้งบประมาณ ในวงเงิน 12 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่พอต่อการปฏิบัติการไปจนถึงปลายปี 68 อย่างแน่นอน แต่ด้วยรัฐบาลเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงได้วางแผนร่วมกันในการใช้งบกลาง เพื่อบรรเทาสถานการณ์ให้ฝุ่น PM 2.5 กระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยให้น้อยที่สุด ตนยืนยันว่าที่ผ่านมา ตนทำความเข้าใจกับผู้บริหารและบุคลากรของกรมฝนหลวง ว่าภารกิจการบรรเทาฝุ่นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเร่งด่วน ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
“การปฏิบัติการนี้ เหมือนกับการหยอดเหรียญใส่กระปุก วันไหนฝุ่นมาก เราก็ทำ วันไหนฝุ่นน้อยเราก็ต้องทำอยู่ดี เนื่องจากปริมาณฝุ่นที่มาจากหลายสาเหตุนั้น จะเพิ่มขึ้นทุกวัน เราจึงมีความจำเป็นต้องนำฝุ่นออกไปเรื่อยๆ” นายอิทธิ กล่าว
นายอิทธิ ชี้แจงว่า ต้องวางเป้าหมายอย่างง่ายๆ เช่น ปีนี้จะไม่ให้มีค่าฝุ่นของประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของโลก หรือตัวเลขการยกเลิกที่พักและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในช่วงเทศกาลของไทยนั้น จะต้องไม่ได้รับผลกระทบมาจากสาเหตุฝุ่น ตนจำได้ว่าเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ได้ยกเลิกการจองโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวสะดุดมาก เพราะปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ส่วนในปีใหม่นี้ แทบจะไม่มีการยกเลิกห้องพักหรือสถานที่ท่องเที่ยวเลย และในภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ปีนี้ตัวเลขผู้ป่วยต้องลดลง นั่นคือเป้าหมายที่ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารของกรมฝนหลวง ตนว่าแค่นี้รายได้จากการท่องเที่ยวก็ไม่ลดลง ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขไม่เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก

นายภาคภูมิ ได้ถามต่อว่า ในอนาคตกรมฝนหลวงมีการวางแผนอย่างไร ถ้าปีหน้าเกิดขึ้นอีก และงบประมาณที่วางแผนไว้จะทำอย่างไรให้ลดลง นายอิทธิ ชี้แจงว่า กรมฝนหลวงถือได้ว่าเป็นหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ด้านการปฏิบัติการทำฝนเทียมระดับต้นของโลก โดยในปีที่ผ่านมา มีรัฐบาลจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจในเอเชียเบอร์ต้นๆ ติดต่อให้กรมฝนหลวงไปทำการสาธิตการปฏิบัติการและอบรม เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มฝนหลวงพยายามพัฒนาการปฏิบัติการต่างๆ
“อยากจะเห็นช่วงเย็นๆ เช้าๆ พาลูกหลานไปวิ่งเล่นในสนามได้ ไม่หมกมุ่นอยู่กับเกม ตอนนี้ทุกหน่วยงานกำลังเร่งบูรณาการและกรมฝนหลวง เป็นส่วนหนึ่งในการสนองนโยบายของท่านนายกฯ” รมช.เกษตรฯ กล่าว.