หลัง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งในนั้นมี “กาสิโน” รวมอยู่ด้วย ผ่านความเห็นชอบในที่สุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 ม.ค. แม้จะยังไม่สมบูรณ์เพราะต้องนำเข้ามาให้ความเห็นชอบใน ครม.อีกครั้ง แต่ในที่สุดก็คงผ่านการพิจารณาของฝ่ายบริหาร เพราะเป็นความตั้งใจของผู้มีอำนาจ ต้องการใช้เมกะโปรเจกต์มากระชากเศรษฐกิจให้โงหัวขึ้นให้ได้ แต่เมื่อประเมินกระแสตอบรับในสังคม ดูเหมือนเสียงค้านจะดังกว่าเสียงหนุน โดย “นายรังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้ความเห็นว่า อาจจะมีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลผ่านการกำหนดพื้นที่และการให้ใบอนุญาต และมีการนำทุนสีเทามาฟอกเงินผ่านกาสิโน

ขณะที่ “นายปริเยศ อังกูรกิตติ” โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ออกมาระบุว่า ขอชวนประชาชนจับตาดีลใหญ่ช่วงสุดสัปดาห์ โดยกล่าวว่าแม้กฎหมายกาสิโนเพิ่งเริ่มต้น แต่อยากให้ประชาชนจับตาดูเครื่องบินเจ็ตที่จะบินออกจากประเทศไทยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ พร้อมนักธุรกิจไทย จุดมุ่งหมายเกาะฮ่องกง เพื่อเจรจาแบ่งเค้กกาสิโน โดยมีผู้มากบารมีที่ยังอยู่ต่างประเทศ เป็นศูนย์กลางการเจรจา ระหว่างกลุ่มธุรกิจจากประเทศไทย ประเทศจีน และมาเก๊า ซึ่งหากข่าวนี้เป็นจริง จะถือว่าเป็นการทำงานที่รวดเร็วมาก สำหรับนโยบายกาสิโน เพราะไม่ต้องรอกฎหมาย แต่ใช้การเจรจาบนโต๊ะจิบไวน์แล้วลงตัวได้เลย จึงถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของการทำงานของรัฐบาลมากๆ
ส่วน “นายสมชาย แสวงการ” อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กว่า 4 อันดับประเทศที่ติดอันดับความยากจนสูงสุดในอาเซียนคือ เมียนมา ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มีกาสิโน เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่หรูหรา มีมาเฟียทุนเทา ทั้งในและต่างประเทศเป็นเจ้าของทั้งสิ้น รัฐบาลแต่ละประเทศล้วนอ้างว่าจะได้ประโยชน์ในการลงทุน มีเม็ดเงินเข้าประเทศหลายแสนล้าน เก็บภาษีเพื่อดูแลคนให้พ้นความยากจน นโยบายเหล่านี้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง คนรวยมีเฉพาะกลุ่มการเมืองในครอบครัวและกลุ่มอิทธิพลที่ใกล้ชิด ประชาชนจนหนักกว่าเดิม บางประเทศใกล้ล้มละลาย

ร่วมเป็น 1 เสียง แสดงจุดยืนว่า “เราไม่เอากาสิโน” จากการที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) อันมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลักเข้าสู่รัฐสภา กฎหมายนี้จะเปิดช่องให้เปิดกาสิโนได้อย่างเสรี และก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมทั้งปัญหาอาชญากรรม การฟอกเงิน การทุจริตคอร์รัปชั่น การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ฯลฯ หากคุณคือคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย กรุณาร่วมกันส่งเสียงต่อรัฐบาลผ่านการลงชื่อแสดงจุดยืนว่า “เราไม่เอากาสิโน” ได้ที่ https://forms.gle/PBBBYki6Lbcb4HZh9
ขณะที่ “นายจิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกมาระบุว่า มีกลุ่มทุนพยายามที่จะจะคว่ำร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาที่อยู่ใต้ดิน โดยตอนนี้เริ่มจะมีกลุ่มทุนที่พยายามจะคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ว่าจะใช้วิธีการอย่างไร รัฐบาลก็จะนำของใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินเพื่อควบคุม โดยเชื่อว่าแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ หากย้อนกลับไปดูนโยบายของพรรคการเมืองที่เคยหาเสียงไว้หลายพรรคที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบัน ก็เคยมีนโยบายหาเสียงในการจะเปิดสถานบริการการพนัน หรือบ่อนเสรี โดยหลายนโยบายยังมีการกำหนดให้สามารถมีทุกจังหวัดได้อีกด้วย จึงอยากเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านกลับไปดูนโยบายของพรรค และนำมาเปรียบเทียบกับนโยบายของรัฐบาลที่ออกมาและช่วยกันนำเรื่องจริงของสังคมไทยมาร่วมกันแก้ไขในชั้นรับหลักการ หรือช่วงแปรญัตติ หรือชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณารายมาตรา

คำถามคือกลุ่มทุนกลุ่มไหน ที่พยายามจะคว่ำกฎหมายดังกล่าว หรือเป็นความพยายามต้องการดิสเครดิตฝ่ายที่ต่อต้าน แต่สำคัญที่สุดคือการวางมาตรการในการป้องกัน ไม่ให้คนที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปเล่นการพนันในการกาสิโน เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะอาจเกิดผลกระทบกับครอบครัว ป้องกันกลุ่มทุนสีเทา ไม่ให้นำเงินผิดกฎหมายมาฟอกในกาสิโน ซึ่งเชื่อว่า กว่า พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะมีมุมมองต่างๆ ออกมามากมาย ทั้งเสียงหนุนเสียงค้าน อย่าลืมพรรคเพื่อไทย (พท.) เคยมีปัญหาจากโครงการรับจำนำข้าว และบ้านเอื้ออาทรมาแล้ว เมื่อมีการนำเสนอโครงการใหญ่ ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ย่อมถูกจับตามองมากพิเศษ
ขณะที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) กับ ภูมิใจไทย (ภท.) หนีไม่พ้นเรื่องการลงนามเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ดินดังกล่าวอยู่ในการครอบครองของตระกูล “ชินวัตร” หลัง “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. ออกมาระบุถึงกรณีที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.มหาดไทย เซ็นคำสั่งเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ กลับคืนเป็นที่ธรณีสงฆ์ ว่า นายชาดาได้เซ็นจริง เพื่อให้กรมที่ดินปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด ได้ลงนามก่อนพ้นตำแหน่ง แต่นายชาดาไม่มีอำนาจในการเพิกถอน เป็นอำนาจของ นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย

ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องข้อกฎหมาย ที่ไม่ใช่เฉพาะคดีอัลไพน์ รวมถึงคดีที่ดินเขากระโดงด้วย ซึ่งเรื่องการเพิกถอนอยู่ระหว่างกระบวนการ มาถึงจุดที่เป็นดุลพินิจของนายชำนาญวิทย์แล้ว หากไม่ดำเนินการก็จะผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีเวลาถึงเดือน ก.พ.นี้ ก่อนที่จะเกษียณราชการ และเชื่อว่าจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ซึ่งไม่มีทางออกสักเท่าไหร่ เพราะดุลพินิจถูกล็อกมา ตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะต้องเพิกถอนกรรมสิทธิ์ของที่ดินอัลไพน์เป็นโมฆะและที่ดินกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์
เมื่อถามว่าหากมีการเพิกถอนที่ดินอัลไพน์ กรมที่ดิน จะต้องเยียวยาผู้ถือครองโดยสุจริตหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า กรมที่ดินต้องรับผิดชอบ ส่วนใครจะถูกจะผิดก็ต้องไปไล่เบี้ยกัน ซึ่งหากเพิกถอนที่ดินผู้ถือครองโดยสุจริตจะต้องชดใช้ตามการประเมินมูลค่าที่ดิน เมื่อถามว่า ประเด็นอัลไพน์ ถือเป็นการแลกกันคนละหมัด ระหว่างพรรค ภท. กับพรรค พท. หรือไม่ หลังมีการดำเนินการเรื่องที่ดินเขากระโดง นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นอำนาจโดยชอบธรรมของรองปลัดฯ รัฐมนตรีไม่มีสิทธิไปยับยั้ง เรื่องเขากระโดงกับเรื่องอัลไพน์ หน่วยงานที่รับผิดชอบก็คล้ายๆ กัน มีการออกเอกสารสิทธิ แต่วันดีคืนดีก็มีคำสั่งศาลมาเพิกถอน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่าการพิจารณาเพิกถอนที่ดินอัลไพน์จะต้องชี้แจงต่อนายกฯ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เคยชี้แจงแล้ว ซึ่งใครทำเรื่องนี้ก็ต้องรับผิดชอบ
ขณะที่ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ หลังสื่อถามตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่า ทำไมกรณีที่ดินอัลไพน์ถึงถูกหยิบยก ขึ้นมาในช่วงนี้ ทั้งที่เคยเคลียร์ไปแล้ว โดยนายกฯ ยิ้มก่อนย้อนถามสื่อว่า “สังเกตไหมล่ะ”
ต้องรอดูว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นบานปลายหรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้น หัวหน้ารัฐบาลเคยถือหุ้นบริษัทที่ครอบครองที่ดินดังกล่าวอยู่ จะมีปมเกี่ยวกับเรื่องปัญหาด้านจริยธรรมหรือไม่ ในเรื่องการครอบครองที่ธรณีสงฆ์

นอกจากนี้ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยในช่วงกระทู้ถามสดด้วยวาจา ของนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. เรื่องการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งใจจะถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แต่นายกฯ มอบหมาย รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มาตอบกระทู้แทน แต่ทาง รมว.ดีอีติดภารกิจไม่สามารถมาตอบกระทู้ได้ จึงขอเลื่อนกระทู้ออกไปก่อน ทำให้นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ประสานงานเพื่อตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่วันนี้กลับไม่มีรัฐมนตรีคนไหนตอบ การเลื่อนนัยนี้หมายความว่า กระทู้ตนต้องตกลงไปจากข้อมูลที่เก็บมาตั้งแต่ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ ฝ่ายค้านยื่นกระทู้ถามไปทั้งสิ้น 20 กระทู้ รัฐบาลมาตอบเพียง 13 กระทู้ คิดเป็น ร้อยละ 65 เท่านั้น

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าเหลืออด จึงหารือกับประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) จากนี้ไปจะไม่บอกล่วงหน้ากันอีกแล้ว เอาเป็นว่า เวลา 08.00 น. รู้กัน จะมาตอบหรือไม่ ก็ให้สังคมได้รู้ว่าให้ความสำคัญกับสภาและความเดือดร้อนของสังคมหรือไม่ สิ่งที่กำลังทำเป็นเจตนาที่ไม่สุจริต หลังจากวันนี้จะนำเรื่องไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทุกครั้งที่เรายื่นกระทู้ไปแล้ว ท่านไม่มาตอบ ก็จะยื่นเข้าสู่ ป.ป.ช.ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถือว่าท่านเข้าข่ายละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ละเมิดรัฐธรรมนูญ (รธน.) ละเมิดข้อบังคับการประชุม ไม่เคารพสภา ใช้วิธีการนี้ด้อยค่าฝ่ายค้าน
ขณะที่ “นางมนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม ในฐานะวิปฝ่าย ครม. ชี้แจงว่า กระทู้เกี่ยวกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายกฯ มอบหมายรมว.ดีอีมาตอบกระทู้ แต่ติดภารกิจตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. ไปจนถึงวันที่ 18 ม.ค. 68 ขยับเวลามาตอบกระทู้ไม่ได้ เนื่องจากต้องนั่งเป็นประธานการประชุมดิจิทัลภาคพื้นเอเชียตลอด จึงขอให้นายรังสิมันต์ ตั้งกระทู้ในคราวต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ นายกฯ กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหา

ส่วน “นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า จากที่ได้ประสานในทุกสัปดาห์ พบว่าได้รับความร่วมมือจาก ครม. เมื่อเทียบกับสภาสมัยที่แล้ว ครั้งนี้ได้รับความร่วมมือน้อยกว่า ทั้งที่ได้ประสานล่วงหน้าแล้ว หลังจากนี้ก็จะได้รู้กันในช่วงเช้า เวลา 08.00 น. ก่อนที่จะมีการตอบกระทู้
เชื่อว่าหลายคนคงตั้งข้อสังเกต ทำไม น.ส.แพทองธาร ถึงจัดคิวเดินทางไปตรวจราชการในวันพุธ หรือพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันประชุมสภาและตอบกระทู้ของนักการเมืองฝ่ายค้าน คงต้องดูพรรคฝ่ายค้านจะยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจริงหรือไม่ เพื่อให้ตรวจสอบฝ่ายบริหารไม่มาตอบกระทู้
“ทีมข่าวการเมือง”