เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานของ ป.ป.ช. ชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ หรือชุด “ฉก.ฉลามอันดามัน” นำโดย นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 8 นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต ป.ป.ช.ตรัง นายคเณศ พลเพชร เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตปฏิบัติการ ป.ป.ช.ตรัง นายณรัณธรณ์ มันเล็ก หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต ป.ป.ช.กระบี่ นักสืบสวนคดีทุจริต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ร่วมกันลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ โดยลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณจุดจัดเก็บ เช่น อ่าวมาหยา เกาะพีพีดอน เกาะไม้ไผ่ ภายหลังจากที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการเสนอมาตรการไปยังกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้จัดเก็บรายได้แบบ E-Ticket แทนการเก็บแบบเงินสด ที่อาจกลายเป็นช่องโหว่ของการทุจริต และอาจโยงขบวนการซื้อขายตำแหน่ง ทำให้มาตรการดังกล่าวได้ผ่านมติ ครม. แล้ว จนต่อมากรมอุทยานฯ ได้ประกาศให้มีการเก็บเงินรายได้ในรูปแบบ E-Ticket นำร่องจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา–หมู่เกาะพีพี 2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 3. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จากทั้งหมด 16 แห่ง ของอุทยานแห่งชาติกลุ่มอันดามัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และง่ายต่อการตรวจสอบ

แต่ปรากฏว่าจากการลงพื้นที่พบนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากต่อวัน โดยเฉพาะข้อสังเกตในการจัดเก็บรายได้หรือการเก็บเงินค่าเข้าอุทยานฯ ของจุดจัดเก็บบริเวณอ่าวมาหยา ปรากฏว่ามีข้อสังเกตในประเด็น 1.ยังมีการจัดเก็บรายได้ในรูปแบบของเงินสด ทั้งที่ได้ประกาศให้มีการจัดเก็บรายได้แล้วในรูปแบบ E-Ticket 2.การจัดเก็บรายได้และส่งเงินสดจำนวนมาก 1 ล้านกว่าบาทต่อวัน ที่ได้มอบหมายให้ลูกจ้างของอุทยานฯ จำนวน 3 นาย นำส่งไปยังบนฝั่งโดยเรือยาง ซึ่งมีความเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ทั้งกระแสคลื่นลมที่มีความรุนแรง และความปลอดภัยในเรื่องของผู้ร้ายที่ไม่ประสงค์ดี 3.เรื่องการกำหนดจำนวน CC (Carrying Capacity) หรือการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว ควรมีระบบหรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ 4.ระเบียบกรมอุทยานฯ ออกมากำหนดข้อจำกัดเรื่องการใช้จ่ายเงินโครงการจำนวนร้อยละ 20 แต่ไม่เกิน 30 ล้านต่อปี ซึ่งทำให้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี มีงบประมาณไม่เพียงพอ ทั้งที่สามารถจัดเก็บรายได้ปีละ 600 กว่าล้านบาท

ทางด้าน นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 8 กล่าวว่า การลงมาติดตามมาตรการที่ทาง ป.ป.ช.ได้เสนอไปยังกรมอุทยานแห่งชาติฯ ในการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ โดยเป็นมาตรการที่ให้ทางอุทยานฯ จัดเก็บรายได้ผ่านระบบ E-Ticket ซึ่งในการลงมาที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-เกาะพีพี เนื่องจากเป็นอุทยานฯ นำร่องในการจัดเก็บรายได้ผ่านระบบ E-Ticket ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องนำร่องเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เท่าที่ลงมาก็ยังพบเห็นว่ายังคงมีการจ่ายค่าธรรมเนียมแบบเงินสดบริเวณทางเข้าอุทยานฯ

โดยปัญหาที่ไม่ได้จัดเก็บรายได้ผ่านระบบ E-Ticket ได้ทั้งหมดนั้น จากการพูดคุยกับทางอุทยานฯ และมัคคุเทศก์หรือไกด์ บอกว่า ติดขัดในเรื่องของระบบ และการเข้าระบบนั้น หากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหรือหนาแน่น จะเกิดความล่าช้าไม่ทันการณ์ ทำให้บางบริษัทฯ ยังคงใช้วิธีแบบเดิมคือการมาซื้อบัตรค่าธรรมเนียมหน้าอุทยานฯ และจ่ายแบบเงินสด

ซึ่งการจัดเก็บแบบเงินสดที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตนั้น มีโอกาสความไม่โปร่งใสสูง ที่จะทำให้เงินเหล่านั้นหรือบางส่วนจะเล็ดลอดหรือรั่วไหลออกไป เพราะว่าเท่าที่สังเกตเห็นมัคคุเทศก์หรือไกด์ของบริษัททัวร์มาถึงบริเวณหน้าจุดทางเข้าอุทยานฯ ก็จะมาแจ้งเจ้าหน้าที่แค่จำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเท่านั้น และจ่ายเงินสดให้กับอุทยานฯ ตามจำนวนที่มาบอกกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ไม่ได้เช็กหรือตรวจสอบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตามจำนวนจริงที่บริษัททัวร์แจ้งมาจริงหรือไม่ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เงินเหล่านั้นอาจจะรั่วไหล

“ภายหลังจากนี้จะได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด เน้นย้ำไปที่กรมอุทยานฯ ให้จัดการเร่งรัดในมาตรการจัดเก็บรายได้แบบ E-Ticket ให้ครบถ้วนทุกอุทยานฯ ในประเทศไทย รวมทั้งปัญหาในการจัดเก็บรายได้แบบรับเงินสด โดยมีการฉีกตั๋ว และเมื่อมีการจำหน่ายตั๋วออกไปแล้ว ปรากฏว่าตั๋วเข้าอุทยานฯ มียอดน้อยกว่านักท่องเที่ยวที่เข้าจริง และอุทยานฯ บางที่ ทาง ป.ป.ช. ได้รับข้อมูลหนักถึงขั้นเป็นตั๋วผ่านอุทยานฯ ปลอม แต่ทาง ป.ป.ช.ยังคงอยู่ระหว่างตรวจสอบในเรื่องนี้” นายสุชาติ กล่าว

ขณะที่ นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต ป.ป.ช.ตรัง กล่าวว่า อุทยานฯ ยังไม่ดำเนินการตามมาตรการ หรือมติ ครม. ในการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายตั๋วค่าเข้าอุทยานฯ รูปแบบ E-Ticket ทั้งที่กรมอุทยานฯ ได้มีการสร้างระบบ และประกาศให้ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เป็น 1 ใน 3 อุทยานฯ นำร่องในการจัดเก็บค่าเข้ารูปแบบ E-Ticket แต่ปรากฏว่ามีการจัดเก็บในรูปแบบ E-Ticket ได้เพียงแค่หลักหมื่นบาท หรือเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่มีการจัดเก็บแบบเงินสดต่อวันกว่า 1.6 ล้านบาท

ประเด็นความเสี่ยงในการนำส่งเงิน เนื่องจากระเบียบในการนำส่งเงินของกรมอุทยานฯ ระบุไว้ว่า จะต้องให้จุดจัดเก็บบริเวณอ่าวมาหยา และจุดจัดเก็บอื่นๆ นำเงินจากที่จุดจัดเก็บ เก็บได้ไปส่งยัง สำนักงานอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ซึ่งอยู่บนฝั่งในทุกๆ วัน ซึ่งวันนี้พบเห็นว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกจ้างของอุทยานฯ จำนวน 3 นาย นำเงินสดที่เก็บได้วันนี้ จำนวน 1,608,660 บาท ใส่กระเป๋าสะพายหลังแบบกระเป๋ากันน้ำ ขึ้นเรือยางจากเกาะ ฝ่ากระแสคลื่นลมที่สูงและรุนแรง ไปยังสำนักงานซึ่งอยู่บนฝั่ง มีความเสี่ยงสูงทั้งกระแสคลื่นลมที่อาจทำให้เรือล่ม ทำให้เงินสูญหาย และบุคคลที่มาส่งเงินเป็นเพียงแค่ลูกจ้างของอุทยานฯ ซึ่งไม่มีการป้องกันอันตราย ความปลอดภัย หรือความคุ้มครองเงินจำนวนนับล้านบาทใดๆ ทั้งสิ้น และยังเสี่ยงต่อการที่บุคคลภายนอก และบุคคลภายใน อาจจะเข้ามาปล้น หรือชิงเงินสดจำนวนนับล้านบาทต่อวันไป

วันนี้เรียกร้องให้กรมอุทยานฯ ดำเนินการให้มีการจัดเก็บในรูปแบบ E-Ticket และการให้กรมอุทยานฯ แก้ไขระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการนำส่ง การเก็บรักษา และการใช้จ่ายเงิน เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ หรือสวนรุกขชาติ พ.ศ. 2564 ข้อ 22 ให้หน่วยงานเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทกระแสรายวัน แก้ไขเป็น ให้หน่วยงาน หน่วยงานย่อย เปิดบัญชีเงินฝาก

เพื่อให้หน่วยงานย่อยทุกหน่วยงานของกรมอุทยานฯ สามารถเปิดบัญชีในการเก็บค่าบริการอุทยานได้ แทนการจัดเก็บในรูปแบบเงินสดได้ทุกกรณี ซึ่งจากการประชุมเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา ทางอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้รับทราบมติที่ประชุม และจะนำไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน แต่จากการลงพื้นที่ติดตามมาตรการและการประชุมร่วมกันของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 67 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าทางกรมอุทยานฯ ยังไม่แก้ไขระเบียบแต่อย่างใด นายยุทธนา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานยอดการจัดเก็บรายได้ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ที่ผ่านมาจัดเก็บและจัดส่งรายได้ ได้แค่เพียงวันละ 8 หมื่นบาทต่อวัน แตกต่างกับวันนี้ กลับมีการจัดเก็บและจัดส่งรายได้แบบก้าวกระโดด จำนวน 1,608,660 บาทต่อวัน และที่ผ่านมายอดการจัดเก็บรายได้ทุกอุทยานฯ ทั่วประเทศไทยจัดเก็บและจัดส่งรายได้ 600 ล้านบาทต่อวัน และเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมานั้นเฉพาะอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา–หมู่เกาะพีพี ที่เดียว จัดเก็บจัดส่งรายได้ปีละกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างกันมากโดยยังไม่ทราบถึงสาเหตุ ขณะเดียวกันในห้วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ป.ป.ช. ได้พยายามเข้ามาเสนอมาตรการ และเฝ้าติดตามการจัดเก็บรายได้มาอย่างต่อเนื่อง.