สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ว่า แม้พายุของราคากาแฟที่รุนแรงในปัจจุบัน อาจสงบลงในอีกไม่กี่เดือน แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดว่า ความผันผวนจะยังคงเป็น “คำเตือน” โดยเฉพาะสำหรับผู้ผลิตถึง 2 ใน 3 ซึ่งปลูกกาแฟในพื้นที่น้อยกว่า 1 เฮกตาร์ หรือราว 6.25 ไร่

ราคาของเมล็ดอาราบิก้าที่ขายในนครนิวยอร์กของสหรัฐ พุ่งขึ้นถึง 90% เมื่อปีที่แล้ว ทำลายสถิติราคาปี 2520 เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ 3.48 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 118 บาท) ต่อ 1 ปอนด์ หรือราว 453 กรัม ด้านราคาเมล็ดโรบัสต้าก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน แม้ราคาของกาแฟที่เกรดไม่สูงมากจะมีราคาต่ำกว่า

ภัยแล้งในบราซิลและเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟรายใหญ่ที่สุด อันดับหนึ่งและสองของโลกตามลำดับ เป็นแรงผลักดันให้ราคาสูงขึ้น ในปัจจุบัน ความต้องการกาแฟสูงกว่าอุปทานติดต่อกันมานานหลายปี มากไปกว่านั้น ปัจจัยดังกล่าวถูกซ้ำเติมด้วยการขนส่งที่หยุดชะงักในทะเลแดง ที่ทำให้การส่งออกจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังยุโรปใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากต้องแล่นเรืออ้อมผ่านทวีปแอฟริกา

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลถึงการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (อียู) ที่แม้มีการเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2568 และนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยออกมาเตือนเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่าจะส่งผลกระทบต่อราคากาแฟ

เมล็ดกาแฟอาราบิก้าซึ่งปลูกบนที่สูง มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่า เนื่องจากมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลก โดยเฉพาะบราซิล ที่สามารถย้ายการเพาะปลูกขึ้นไปบนเนินเขาได้ หากอากาศร้อนขึ้น ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสต้า สามารถเติบโตได้ในสภาพที่หลากหลาย แต่มักไม่เป็นที่นิยม

แม้ราคาเมล็ดกาแฟจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ผลิตหลายล้านคนที่ปลูกกาแฟในไร่ขนาดเล็กของประเทศกำลังพัฒนา ยังคงอยู่อย่างยากจน เนื่องจากไม่มีอิสระในการกำหนดราคา และไม่สามารถสู้กับผู้จัดจำหน่ายข้ามชาติเพียงไม่กี่รายที่ครองตลาดอยู่

ขณะที่โครงการรับประกันค่าจ้างขั้นต่ำนั้น ส่งผลกระทบต่อตลาดเพียง 5% เทียบกับสัดส่วนบริษัทนายหน้ารายใหญ่ ที่ครองตลาด 80% ของโลก.

เครดิตภาพ : AFP