พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ได้เห็นชอบในหลักการ เพื่อออกมาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้นำระบบยืนยันตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ หรือข้อมูลชีวภาพ มาใช้ในการลงทะเบียนซิมการ์ด เพื่อคัดกรองและลดการปลอมแปลงข้อมูลในการเปิดใช้งานซิมการ์ด โดยจะมีการออกประกาศแนบท้ายของประกาศ เรื่อง การลงทะเบียนและการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปี 2562 และจะมีผลบังคับใช้ภายใน 180 วัน หลังมีประกาศแนบท้าย เพื่อให้เอกชนได้เตรียมตัว และหากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางปกครองตั้งแต่ ตักเตือน ปรับ และเพิกถอนใบอนุญาต
“ที่ผ่านมามีเอกชนบางรายได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว แต่ต้องมีการอัพเกรดซอฟต์แวร์ เพื่อให้สามารถรองรับการตรวจจับการเก็บรูปภาพเคลื่อนไหวของใบหน้า หันซ้าย-ขวา และการกะพริบตา เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ใช้งานเป็นบุคคลจริงและตรงกับเอกสารที่ยื่น เนื่องจากปัจจุบันการลงทะเบียนเปิดใช้รูปภาพ และเก็บข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงนำไปสู่การที่มิจฉาชีพนำไปก่อเหตุ”
นอกจากนี้ ยังได้ให้มีการจำกัดการลงทะเบียนซิมชาวต่างชาติได้ไม่เกินสามซิม/คน/ค่าย และให้ใช้พาสปอร์ตลงทะเบียนเท่านั้น ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเปิดใช้งานซิม หากหมดโปรโมชั่นใช้งานใน 7 วันแล้ว หากจะใช้งานต่อสามารถใช้ได้อีก 60 วัน เมื่อครบวันแล้ว หลังจากนั้นต้องมาทำการลงทะเบียนใหม่ ให้สอดคล้องในการให้ฟรีวีซ่า 60 วันของนักท่องเที่ยว
พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้ดำเนินการจัดระเบียบการส่งเอสเอ็มเอสแนบลิงก์ใหม่ โดยให้ผู้ประกอบการทุกรายลงทะเบียนใหม่ และให้ส่งลิงก์มาให้ทางสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบลิงก์ว่ามีความปลอดภัยก่อนส่ง ขณะเดียวกันในส่วนของการจำกัดในการเปิดใช้งานซิมการ์ด ผ่านตัวแทนจำหน่ายรายเล็ก หรือลูกตู้ ตามห้างสรรพสินค้านั้น จะมีการนำไปหารือรายละเอียดในวิธีดำเนินการอีกครั้งเพื่อไม่ให้มีความเสียเปรียบได้เปรียบกันระหว่างผู้ประกอบการ เนื่องจากผู้ประกอบการบางรายอาจมีการกระจายเปิดใช้งานซิมผ่านร้านสะดวกซื้อได้ด้วย โดยวิธีการปฏิบัติต่างๆ ในมาตรการทั้งหมดนั้น จะมีการนำกลับเข้าบอร์ดพิจารณาเห็นชอบในการประชุม กสทช.ครั้งถัดไปในวันที่ 30 ม.ค.นี้อีกครั้ง
“สำหรับในการดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้พิการและผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อยู่ห่างไกลชนบทที่ไม่มีศูนย์บริการในการเปิดใช้งานนั้น ต้องมีการจัดช่องทางพิเศษสำหรับการลงทะเบียน เช่น การให้บริการผ่านเจ้าหน้าที่ที่เดินทางไปถึงพื้นที่ หรือการตั้งจุดบริการเฉพาะในเขตพื้นที่ชนบท เป็นต้น ขณะที่ในเรื่องการสื่อสารตามแนวชายแดน ให้การเชื่อมต่อสัญญาณไฟเบอร์ออปติกต้องผ่านจุดตรวจสอบที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพื่อป้องกันการเชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือลักลอบลากสายไฟเบอร์ออปติกข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลักลอบใช้งานสัญญาณข้ามพรมแดนกลับมาหลอกลวงคนไทย”