เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่บ้านสระขี้ตุ่น ต.หนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด แถลงถึงเตรียมเดินทางไปชุมนุมใหญ่ หยุดเหมืองแร่โปแตชกลุ่มทุนพลังงาน กระชากหน้ากากนักบุญสีเขียว ที่ กทม.

โดย น.ส.จุฑามาศ ศรีหัตถดุงกิจ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ กล่าวว่า พวกเรานักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ที่ขณะนี้กำลังต่อสู้คัดค้าน เหมืองโปแตชของบริษัทไทยคาลิ ที่เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นดิน แหล่งน้ำ โดยเฉพาะแหล่งน้ำใต้ดิน ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และขณะนี้ บริษัทกำลังได้รับอนุญาตให้ขุดอุโมงค์ใหม่ ด้วยการใช้ระเบิดสู่ใจกลางชุมชน ทางกลุ่มจึงมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางเข้า กทม. เพื่อเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ยุติการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนในชุมชน

ขณะที่ น.ส.อนุสรา ปราณีตพลกลัง ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เป็นตัวแทนกลุ่มอ่านแถลงการณ์ โดยมีใจความสำคัญบางส่วนระบุว่า การที่กลุ่มทุนพลังงานชื่อดังกลับมาซื้อหุ้น เหมืองโปแตชด่านขุนทดของบริษัท ไทยคาลิ ถือเป็นการซื้อหุ้นแบบครอบครองกิจการ โดยซื้อไปกว่า 660 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 65 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ด้วยสนนราคากว่า 3,300 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ราคาแร่โปแตชในขณะที่ซื้อเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็ลดต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณ 355 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นแบบครอบครองกิจการในไทยคาลิ ก็จะทำให้กลุ่มทุนพลังงานนี้ได้เกลือชนิดโซเดียมคลอไรด์เป็นผลพลอยได้จำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ นี่คือเหตุผลเบื้องหลังในการซื้อหุ้นโปแตชไทยคาลิเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยไม่สนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ธุรกิจสีเขียวอีกต่อไป 

น.ส.อนุสรา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในกรณีสามเหลี่ยมลิเทียม อาณาเขตรอยต่อสามประเทศ โบลิเวีย ชิลี และอาร์เจนตินา อันเป็นที่ตั้งเหมืองลิเทียม Cauchari Olaroz บริษัทกลุ่มทุนพลังงานดังกล่าว ได้ถือหุ้นอยู่ในบริษัท LAC และให้บริษัทยืมเงิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาเหมืองแห่งนี้ด้วย โดยแลกกับสัญญาให้สิทธิซื้อแร่ลิเทียม 20 ปี ปีละ 6,000 ตัน ก่อนจะทำการขายหุ้นทิ้งเพื่อหวังผลกำไร โดยบริเวณนี้ถือเป็นที่ราบเกลือที่มีแร่ลิเทียมสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก โดยสกัดแร่ลิเทียมจากน้ำเกลือ เริ่มจากสูบน้ำเกลือที่มีแร่ลิเทียมละลายอยู่ขึ้นมาบนดิน พักไว้ในบ่อขนาดใหญ่คล้าย ๆ การสูบน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมาตากในนาข้าวทางภาคอีสาน เพื่อปล่อยให้แสงอาทิตย์ระเหยน้ำออก แล้วจึงทำการแยกแร่ลิเทียมออกจากแร่อื่น ๆ เพื่อนำไปผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งก่อผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพ เพราะทำให้ระบบน้ำใต้ดินที่สัมพันธ์กับระบบน้ำผิวดินรวน ส่งผลให้แหล่งน้ำจืดและน้ำเกลือที่ชนพื้นเมืองหลายกลุ่มใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมลดลง เกิดความแห้งแล้ง ผืนดินเกิดการปนเปื้อนจากเกลือที่มีความเค็มและแร่โลหะหนักที่เป็นอันตราย  

น.ส.อนุสรา กล่าวต่อว่า การทำเหมืองโปแตชไทยคาลิก็เช่นกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ก่อผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้คนในทุก ๆ ด้าน ดังนั้น การที่กลุ่มทุนพลังงานตัดสินใจหวนกลับมาซื้อหุ้นเหมืองโปแตชอีกครั้งในบริษัทไทยคาลิ ย่อมเป็นการซ้ำเติมผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่ให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนยิ่งเลวร้ายลง และทำให้เห็นแล้วว่าภาพลักษณ์สีเขียวที่สร้างขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่เอาไว้หลอกลวงผู้คน จึงขอเรียกร้องให้บางจากถอนหุ้นเหมืองโปแตชไทยคาลิทั้งหมดทันที

“โดยวันที่ 27 ม.ค. นี้ กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จะเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนสู่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เพื่อให้หยุดยั้งกระบวนการเดินหน้าเหมืองโพแตช หยุดยั้งระเบิดลูกแรกเพื่อเจาะอุโมงค์แนวดิ่งใหม่ใจกลางชุมชน หยุดยั้งโครงการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม สังคม สุขภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่นี่” น.ส.อนุสรา กล่าว.