นางมธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากค่านิยมของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับ การตอบแทนกลับคืนสู่สังคม จึงได้เปิดตัวโครงการ “แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” ปีที่ 25 โดยร่วมกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย รณรงค์ให้ร่วมบริจาคโลหิตครั้งแรก และบริจาคโลหิตต่อเนื่องเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยความสมัครใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเพื่อเพิ่มจำนวนโลหิตสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ยังจัดกิจกรรมการประกวด ที่ให้น้อง ๆ นิสิต นักศึกษา ได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบผลงานเพื่อสร้างจิตสำนึกและให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อบริจาคโลหิตในวงกว้าง อาทิ การประกวดสื่อภาพนิ่ง (Infographic), การประกวดแต่งเพลงสั้น การประกวดเต้น และการประกวดออกแบบลายเสื้อยืด เป็นต้น

สำหรับโครงการ แบรนด์…พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต ในปีที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้น 122,792 ยูนิต จากเป้าที่ตั้งไว้ 100,000 ยูนิต สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการรณรงค์หัวใจแห่งการเป็นผู้ให้แก่น้อง ๆ นักศึกษา ซึ่งเป็นพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต เพราะเราเชื่อว่า จิตสำนึกของการเป็นผู้ให้เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอย่างยั่งยืน และปี 68 นี้ ตั้งเป้ายอดบริจาคโลหิตจำนวน 125,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 25,000 ยูนิต จากเป้าหมาย 100,000 ยูนิตของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเพื่อสนับสนุนการบริจาคโลหิตของหน่วยรับเคลื่อนที่ ผ่านโรดโชว์รณรงค์บริจาคโลหิตในสถาบันการศึกษา และการออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคต่าง ๆ และกิจกรรมการแข่งขันเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ และนำเสนอไอเดียสร้างสรรค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการบริจาคโลหิตในหมู่เยาวชนในวงกว้าง โดยทั้งสองกิจกรรมจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการสร้างจิตสำนึกของผู้ให้ ที่นำไปสู่การบริจาคโลหิตอย่างยั่งยืนในหมู่เยาวชนได้อย่างแท้จริง

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการใช้โลหิตของโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ มีการเบิกใช้โลหิตเฉลี่ยวันละ 7,500-8,500 ยูนิต แต่สามารถจ่ายโลหิตได้เฉลี่ยวันละ 3,200-3,800 ยูนิต หรือ 42.67-44.71 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ส่วนการบริจาคโลหิตของกลุ่มเยาวชนในปัจจุบันมีการบริจาคเพียง 11% จากจำนวนผู้บริจาคโลหิตทั้งหมด ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีจำนวนเยาวชนบริจาคโลหิตมากถึง 24% จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนนั้นเป็นพลังสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เยาวชนเห็นความสำคัญในการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการเลือดเพื่อรักษา เพราะผู้ป่วยต้องการโลหิตทุกวินาที
ยิ่งไปกว่านั้น การบริจาคโลหิตไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค โดยการบริจาคโลหิตครั้งละ 350-450 ซีซี คิดเป็น 10-12% ของปริมาณโลหิตทั้งหมดในร่างกาย โดยหลังบริจาคโลหิต ไขกระดูกในร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้บริจาคควรรับประทานยาเสริมธาตุเหล็ก วันละ 1 เม็ดหลังอาหาร จนหมดตามจำนวนที่ทางสภากาชาดมอบให้ เป็นการชดเชยธาตุเหล็กที่สูญเสียไปจากการบริจาคโลหิต เพื่อให้สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนต่อไปในอนาคต