สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ว่าภายในระยะเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สอง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายกับอเมริกา และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากคำสั่งของทรัมป์เท่านั้น

การอภัยโทษผู้กระทำผิดประมาณ 1,500 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาจัด เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภา ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564


การประกาศถอนตัวออกจากความตกลงปารีส ฉบับปี 2558 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประชาคมระหว่างประเทศ ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และทรัมป์ยืนยันว่า จะให้สหรัฐกลับมาสำรวจและขุดเจาะน้ำมันอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกา


การนำสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) เนื่องจากเป็นองค์กรที่ “ยังคงทำตัวเป็นภาระ และเรียกร้องเงินสนับสนุนจากสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม” และ การระงับโครงการช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน โดยยกเว้นให้เฉพาะอิสราเอลและอียิปต์

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ “ต่อลมหายใจ” ให้แก่ติ๊กต็อก ด้วยการ ชะลอบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อก ออกไปอีกอย่างน้อย 75 วัน แต่ในระหว่างนี้ ติ๊กต็อกยังคงต้องหาทางออกร่วมกับหลายฝ่าย เกี่ยวกับการขายกิจการในสหรัฐ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ในอเมริกาได้ต่อไป เนื่องจากแม้มีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย แต่แอปพลิเคชันไม่สามารถอัปเดตและดาวน์โหลดเพิ่มได้ในสหรัฐ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับหนึ่ง ที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน


เกี่ยวกับความมั่นคงภายใน ทรัมป์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามแนวชายแดนทางใต้ ที่ติดกับเม็กซิโก พร้อมทั้งเสริมกำลังทหารอีก 1,500 นาย เพื่อภารกิจปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ในการตรวจค้นสถานที่อีกหลายแห่ง รวมถึงโบสถ์และโรงเรียน เพื่อจับกุมผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองด้วย

นอกจากนี้ ทรัมป์สั่ง ระงับการเข้าประเทศของผู้ลี้ภัย ที่ได้รับการอนุมัติไปก่อนหน้านี้ และ มีแผนยกเลิกการให้สัญชาติกับเด็กต่างด้าว ซึ่งเกิดบนแผ่นดินอเมริกา แต่เรื่องนี้เผชิญกับคำสั่งศาลและการต่อสู้ทางกฎหมายจากหลายรัฐ “ตามความคาดหมาย”


ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ห้ามการจัดตั้งสกุลเงินดิจิทัลธนาคารกลาง (ซีบีดีซี) “เพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากความเสี่ยงทางการเงิน” ที่จะเกิดขึ้นจากซีบีดีซี “อันจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ และความเป็นส่วนบุคคลทางการเงิน และอธิปไตยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ”


คำสั่งดังกล่าวของทรัมป์ครอบคลุม “การจัดตั้ง การกำหนดให้มีการใช้ การหมุนเวียน และการใช้” ซีบีดีซี “ภายในอาณาเขตซึ่งอยู่ในขอบเขตอำนาจศาลของสหรัฐ”


ทั้งนี้ ในทางทฤษฎีถือว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีอำนาจในการออกซีบีดีซี เพื่อใช้แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ “แบบกายภาพ” ซึ่งหมายถึงเงินดอลลาร์สหรัฐที่จับต้องได้ในปัจจุบัน โดยเฟดจะสามารถบริหารจัดการซีบีดีซี หรือ “ดอลลาร์ดิจิทัล” ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปริมาณ และการรับประกันมูลค่า


นอกจากนี้ ทรัมป์ ยืนยันจะขึ้นภาษีจีนจากระดับเดิมอีก 10% ส่วน เม็กซิโกและแคนาดา ต้องเผชิญกับอัตราภาษีอีก 25% เริ่มมีผลพร้อมกัน ในวันที่ 1 ก.พ. นี้


อีกเรื่องซึ่งเรียกเสียงฮือฮาและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย คือคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ เพิกถอนคำสั่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิที่เกี่ยวกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศ และกลุ่มชาติพันธุ์

คำสั่งนี้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรวดเร็วในทำเนียบขาว โดยตามด้วย “การเลิกจ้างหรือปลดออก” บุคลากรในสังกัดสำนักงานความหลากหลาย ความเสมอภาค และความครอบคลุม (ดีอีไอ) และสำนักงานความหลากหลาย ความเสมอภาค ความครอบคลุม และการเข้าถึง (ดีอีไอเอ)


ขณะเดียวกัน คำสั่งปลดยังครอบคลุม เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับ “ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม” โดยผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานทุกแห่งต้องเลิกจ้างพนักงานเหล่านี้ “ให้ได้มากที่สุด” ภายในระยะเวลา 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.


ตามด้วยการที่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยุติการให้ประชาชนสามารถเลือกระบุเพศสภาพ “เพศเป็นกลาง” หรือ “x” ซึ่งหมายถึงการไม่ระบุเพศ ในหนังสือเดินทาง และระงับขั้นตอนการออกหนังสือเดินทาง ตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเคยอนุญาตให้ประชาชนสามารถเลือกสถานะเป็นกลางทางเพศ เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์


ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวหมายความว่า นับจากนี้ ผู้ที่ยื่นคำร้องขอหนังสือเดินทางสหรัฐ จะสามารถเลือกเพศได้เพียง “ชาย” หรือ “หญิง” เท่านั้น และหลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐจะเผยแพร่แนวทางปฏิบัติ รวมถึงคำแนะนำให้กับผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไม่ระบุเพศต่อไป

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โบกมือให้กับผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ ระหว่างเตรียมเดินทางด้วยเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ ฟอร์ซ วัน” ออกจากนครลาสเวกัส กลับไปยังกรุงวอชิงตัน

นอกจากนี้ ทรัมป์ ปลด พล.ร.อ.หญิง ลินดา ฟาแกน ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังยามฝั่ง ซึ่งพล.ร.อ.หญิง ฟาแกน วัย 61 ปี ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเมื่อปี 2565 ถือเป็น ทหารหญิงนายแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ 1 ใน 6 ของโครงสร้างการปฏิบัติงานทางทหาร ภายใต้กองทัพสหรัฐ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองทัพอวกาศ กองกำลังนาวิกโยธิน และกองกำลังยามฝั่ง

แม้ไม่มีการเปิดเผยเหตุผลอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการที่ผู้นำสหรัฐปลด พล.ร.อ.หญิง ฟาแกน แต่แหล่งข่าวระบุว่า เกี่ยวกับ “ความบกพร่องของภาวะความเป็นผู้นำ ความล้มเหลวในการปฏิบัติการ และการขาดศักยภาพในการพัฒนากองกำลังยามฝั่ง ให้บรรลุเป้าหมายเชิงปฏิบัติการ” แต่เธอกลับเน้นให้ความสำคัญกับ “ความเท่าเทียมและความหลากหลาย” ในระดับที่ “มากเกินไป”.

เครดิตภาพ : AFP