หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือโออาร์ เปิดเผยในโอกาสรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า ได้ตั้งเป้าหมายในการบริหารโออาร์ เพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 38-40% ปัจจุบันอยู่ที่ 35% ซึ่งยังอยู่ในอันดับ 1 โดยปี 68 โออาร์เตรียมเงินลงทุน 19,000 ล้านบาท จากแผนการลงทุน 5 ปี  60,000 ล้านบาท เน้นการลงทุน 4 เสาหลัก แบ่งเป็นธุรกิจโมบิลิตี้ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สถานีชาร์จ 7,600 ล้านบาท ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน) 7,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และธุรกิจต่างประเทศที่ยังเน้นการลงทุนในประเทศกัมพูชา เป็นบ้านหลังที่สอง โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 2-3% ตามอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ที่ผ่านมา โออาร์ก็สามารถโตได้ประมาณ 3-4%

“การเข้ารับตำแหน่งครั้งนี้ ต้องการเห็นโออาร์ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถแข่งขันในธุรกิจน้ำมันได้มากขึ้น ใช้จุดแข็งของแบรนด์ที่ใครไม่สามารถก๊อบปี้ได้ โดยปีนี้โออาร์ตั้งเป้าหมายชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมาที่ระดับสูงสุดที่เคยทำไว้ 38-40% ระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระ 2 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 35-36% ยังคงตำแหน่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาด เปลี่ยนผ่านพีทีทีสเตชั่นไปสู่โออาร์สเปซ โฟกัสการลงทุนสถานีชาร์จ ที่ปีนี้คาดว่าจะลงทุนใกล้เคียงกับปี 66 มูลค่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 1,000 แห่ง ตามนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายมีหัวชาร์จ 7,000 หัวทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี ลดลงจากเป้าเดิม 12,000 หัว เนื่องจากอัตรากำลังการผลิตรถยนต์อีวีลดลง ซึ่งโออาร์ตั้งเป้าหมายมีหัวชาร์จ 5,000 หัว ภายในปี 73 คาดว่าจะคุ้มทุนภายใน 7 ปีตามแผน”

นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับแนวความคิดการดำเนินธุรกิจ โดยจะสร้างความเชื่อมั่นและการสื่อสารที่ใกล้ชิดผ่านโครงการซีอีโอ ออน ทัวร์ เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พนักงาน พันธมิตร นักลงทุน และสื่อมวลชน ส่วนการกลับมารับของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ให้ความสำคัญในการใช้พลังงานฟอสซิล เชื่อว่า จะทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลง จากการขุดเพิ่มขึ้นของพลังงานฟอสซิล  

ส่วนนโยบายการใช้นโยบายลดราคาน้ำมันเพื่อเพิ่มยอดขายนั้น ในหลักการอยากให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาดและไม่เชื่อการลดราคาน้ำมันจะช่วยเพิ่มยอดขายขึ้นมาได้ แต่ในทางกลับกัน จะทำให้ผู้ใช้ไม่ตระหนักถึงการประหยัดพลังงาน เนื่องจากไทยยังต้องนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยสามารถผลิตได้เองในสัดส่วนแค่ 15% ของปริมาณความต้องการใช้ ดังนั้นหากยิ่งใช้น้ำมันมาก ก็ยิ่งทำให้เสียดุลการค้า ส่วนกรณีรัฐบาลจะขอความร่วมมือให้ลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้น คงต้องพิจจารณาตามเหมาะสมไป

สำหรับวิสัยทัศน์การบริหารนโยบายองค์กร สร้างความแข็งแกร่งให้กับ OR ผ่าน 3 พันธกิจหลัก ได้แก่

1. Seamless Mobility มุ่งเสริมความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันผ่านการขยายเครือข่ายสถานีบริการ ตามเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้ 38-40% จากการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาสู่พลังงานทางเลือก เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ และการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์

ทั้งนี้ จะใช้กลยุทธ์ Thailand Mobility Partner ในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจน้ำมัน (Fossil Based) สู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (New Energy-Based) ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวการใช้รถ EV ในยุคเปลี่ยนผ่าน จะเพิ่มจำนวนมาก

2. All Lifestyles มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอด Value Chain แสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเริ่มศึกษาธุรกิจ Health Wellness ที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์กระจายพอร์ตการลงทุน (Diversify Portfolio)

3. Global Market ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ ซึ่งยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศกัมพูชา เนื่องจากมีรูปแบบการทำธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน