เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่จังหวัดตรัง นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรงกับ 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ที่เข้าชื่อแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวน ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวน ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยตามขั้นตอนนั้น เมื่อคณะกรรมการไต่สวน รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะพิจารณาว่า มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ หากมีหลักฐานเพียงพอก็จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากไต่สวนแล้วพบว่า การกระทำนั้นไม่มีความผิด ก็จะสรุปสำนวนว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ก่อนจะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา

ส่วนจะมี สส. คนไหนที่คาดว่าจะถูกแจ้งข้อกล่าวนั้น นายสาโรจน์ กล่าวว่า เป็นรายละเอียดในสำนวน ไม่สามารถยืนยันได้ และตนในฐานะเลขาฯ ป.ป.ช. ก็ไม่เห็นว่าจะมีบุคคลใดเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา หรือสุดท้ายแล้วจะไม่มีมูล เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในสำนวน ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ 

นายสาโรจน์ กล่าวต่อว่า การแจ้งข้อกล่าวหาจะใช้เวลาอีกไม่นาน เพราะการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานที่ได้รับรายงานมานั้น ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานค่อนข้างที่จะครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อสรุปสำนวนเสนอคณะกรรมการไต่สวน ก็เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการไต่สวน ว่าหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาไปทางใดทางหนึ่งแล้วหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ใช้เวลาอีกไม่นาน

เมื่อถามว่า ภายในปีนี้จะได้เห็นการชี้มูลความผิด 44 สส. ที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ นายสาโรจน์ กล่าวว่า ตามความเห็นของตน หากไต่สวนครบถ้วน และมีพยานหลักฐานชัดเจน ก็สามารถที่จะพิจารณาได้ ภายใน1-2 เดือนนี้ แต่การพิจารณานั้น ไม่ได้หมายความว่า จะไปถึงขั้นตอนชี้มูล เพราะตามขั้นตอน จะต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาได้ชี้แจง ซึ่งหากมีการชี้แจงแล้ว ก็จะมีการสรุปสำนวน และพิจารณาว่า คำชี้แจงฟังขึ้นหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่า ข้อกล่าวหามีมูล หรือไม่มีมูล ทั้งนี้ตามกรอบระยะเวลาภาพใหญ่ คาดว่าอาจจะชัดเจนภายในปีนี้ หากไม่มีข้อเท็จจริงที่จะต้องไปดำเนินการเพิ่มเติมมาก.