สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ว่าแร่ธาตุหายาก อาทิ ดิสโพรเซียม นีโอดิเมียม และซีเรียม ถือเป็นกลุ่มโลหะหนัก 17 ชนิดที่พบมากในเปลือกโลกทั่วโลก
การประเมินในปี 2567 โดยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐได้ประมาณการว่า ขณะนี้มีแร่ธาตุหายากอยู่ 110 ล้านตันทั่วโลก โดย 44 ล้านตันอยู่ในจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก
นอกจากนั้น คาดว่ามีแร่ธาตุหายากอีก 22 ล้านตันอยู่ในบราซิล 21 ล้านตันในเวียดนาม 10 ล้านตันในรัสเซีย และ 7 ล้านตันในอินเดีย
อย่างไรก็ตาม การขุดแร่โลหะเหล่านี้ต้องใช้สารเคมีในปริมาณมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดของเสียที่เป็นพิษในปริมาณมหาศาล รวมถึงภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมหลายครั้ง ซึ่งส่งผลให้หลายประเทศต้องระมัดระวัง ในการแบกรับต้นทุนทางการเงินสำหรับการผลิตที่สูง
All you need to know about rare metals that have been playing a crucial role in the trade wars worldwidehttps://t.co/XKszW5K8VQ
— Forbes India (@ForbesIndia) February 5, 2025
แร่ธาตุหายากทั้ง 17 ชนิดถูกใช้ในอุตสาหกรรม และสามารถพบได้ในอุปกรณ์ในชีวิตประจำวัน และอุปกรณ์ไฮเทคหลากหลายชนิด ตั้งแต่หลอดไฟไปจนถึงขีปนาวุธนำวิถี และแร่ทั้งหมดมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แทบจะทดแทนไม่ได้ หรือทดแทนได้ในราคาสูง
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ปักกิ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรของตน ด้วยการลงทุนอย่างมหาศาลในการดำเนินการกลั่น ซึ่งมักไม่มีการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดเหมือนในประเทศตะวันตก
มากไปกว่านั้น จีนยังยื่นจดสิทธิบัตรจำนวนมากสำหรับการผลิตแร่ธาตุหายาก ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคต่อบริษัทในประเทศอื่น ๆ ที่หวังจะเริ่มการแปรรูปแร่หายากขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ บริษัทหลายแห่งพบว่า การส่งแร่ของตนไปยังจีนเพื่อกลั่นนั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่า โดยถือเป็นการตอกย้ำการพึ่งพาจีน.
เครดิตภาพ : AFP