จากนั้นเวลา 11.25 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาด้วยรถยนต์ยี่ห้อเบนท์ลีย์ ทะเทียน ภภ 2492 กรุงเทพมหานคร สีน้ำตาลเลือดหมู ซึ่งเป็นรถยนต์คันใหม่ ซึ่งเลขทะเบียนรถคันนี้ตรงกับ พ.ศ.เกิดของนายทักษิณ โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา พร้อมครอบครัวมาให้การต้อนรับ ซึ่งนายทักษิณ ได้มอบของขวัญวันเกิดให้กับนายสุวัจน์กับมือ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าได้มอบอะไรให้ นายทักษิณ ตอบกลับว่า “มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพราะท่านมีทุกอย่างแล้ว”

จากนั้นนายทักษิณ ได้หยุดทักทายกับสื่อมวลชน และพูดขึ้นว่า “เห็นบอกว่ามีจดหมายเปิดผนึก” และได้เดินไปทักทายและลูบหัว น้อง“ อธิ” ด.ช.อิทธิพุธ ลิปตพัลลภ พูลวรลักษณ์ ซึ่งเป็นหลานของนายสุวัจน์ พร้อมได้พูดคุยกับนายสุวัจน์ช่วงหนึ่งว่า ยินดีกับนายสุวัจน์ ที่มีหลาน เป็นคุณตาแล้ว ช่วยเพิ่มประชากร

ขณะเจ้าตัวบอกว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2548 ที่นายทักษิณ มาอวยพรก็มีการปรับ ครม. และทุกครั้งที่นายทักษิณมาอวยพรวันเกิดที่บ้านของตนจะมีการปรับ ครม. ทุกที ทำให้นายทักษิณถึงกับหัวเราะและบอกว่าอย่าเป็นประเด็น

จากนั้น นายทักษิณได้มาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงกรณีที่กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม คัดค้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ว่า ตนยังไม่เห็นเนื้อหาที่ชัดเจน แต่รู้สึกว่าจะมีการตำหนิผู้นำ เท่าที่ตนได้สอบถามนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในเรื่องการตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ อีก 2 วันก็คงจะลงตัว
เมื่อถามว่าเป็นไปตามที่เป็นข่าวหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เรื่องการตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติก็เป็นกลไกที่จะต้องให้แบงก์ชาติ และรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเสนอและให้คณะกรรมการสรรหาไปเลือก
เมื่อถามว่าคุณสมบัติของประธานบอร์ดของแบงก์ชาติที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า การเป็นประธานต้องมีความสัมพันธ์และมีความรู้ ซึ่งยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทาง รมว.คลังจะเสนอใคร
เมื่อถามว่าในใจ มองว่าใครที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้พูดตรงๆ ผู้คนที่จะมาทำงานให้กับประเทศโดยส่วนรวมหายาก เพราะว่า 1. ต้องมีความพร้อม 2. ต้องมีความเสียสละ บางคนอาจจะพร้อมแต่ไม่เสียสละ บางคนอยากเสียสละแต่ไม่พร้อมมาช่วยกันทำงานให้บ้านเมืองค่อนข้างยาก อาจจะเป็นเพราะตนแก่ไปแล้ว ไม่รู้จักคนเพราะหายไป 17 ปี ขาดการต่อเนื่องในการรู้จักคน อาจจะมองไม่ค่อยออก แต่ก็ช่วยกันมองอยู่