เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.พ. 2568 ที่พรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการวิชาการ ร่วมกันแถลงข่าวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ….
โดยนายอุตตม กล่าวตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน รอบคอบ และเพียงพอแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะการหารือกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ ธปท. เพิ่งมีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) แสดงข้อสังเกตต่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เนื่องจากกฎหมายนี้เกี่ยวข้องกับระบบการเงินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ อาทิ การให้คณะกรรมการฯ ตามกฎหมายนี้มีอำนาจกำหนดประเภทธุรกิจ และเกี่ยวเนื่องไปถึงการให้ใบอนุญาต การกำกับดูแลในรูปแบบที่ค่อนข้างเหมารวม ซึ่งในทางปฏิบัติจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่และกระบวนการของหน่วยงานกำกับใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ให้เปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงทางการเมือง
“ผมสนับสนุนให้มีกลไกรองรับการประชุมหารือร่วมกันเป็นประจำ ระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานกำกับด้านการเงินต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และการวิเคราะห์ ทั้งในภาวะปกติ และเมื่อมีสัญญาณของการเกิดวิกฤติ เพื่อให้สามารถสร้างความพร้อมในการรับมือวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ รวมถึงการระดมความคิดในการพัฒนาระบบการเงิน ตลาดทุนและที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยรวมกลไกหารือเช่นนี้ สามารถจัดตั้งได้ทันทีโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ด้วยความเห็นชอบของ ครม. ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาและความซ้ำซ้อนในการดำเนินการของหน่วยงานที่ดูแลอยู่แล้ว” นายยอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวว่า กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเงินได้ เพราะนักลงทุนจะเลือกประเทศที่พร้อมที่สุด เช่น สิงคโปร์ประสบความสำเร็จด้วย 1.นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อธุรกิจ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เหมาะสม พร้อมสิทธิประโยชน์ดึงดูดฟินเทคและกองทุนบริหารสินทรัพย์ กฎระเบียบโปร่งใสภายใต้การกำกับของธนาคารกลางสิงคโปร์ 2.โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแข็งแกร่ง เช่น ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเงินตรา ระบบดิจิทัลที่รองรับธุรกรรมทางการเงิน และเครือข่ายธนาคารระดับโลก 3.แรงงานคุณภาพสูงจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และโครงการพัฒนาทักษะด้านการเงินและฟินเทค
“หากไทยต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ต้องสร้างความพร้อมในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ออกกฎหมาย แต่รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองที่เป็นรากฐานของความเชื่อมั่น หลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและเป็นมาตรฐานสากล และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านกฎระเบียบ เทคโนโลยี และบุคลากร หากไม่เร่งปฏิรูป ไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกของนักลงทุนในเวทีการเงินโลก” นายอุตตม กล่าว
ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลรู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยยังขาด 2 องค์ประกอบสำคัญในการเป็นศูนย์กลางฯ ทั้งด้านกฎหมาย และด้านธรรมาภิบาลในด้านกฎหมาย การเชิญชวนสถาบันการเงินระดับโลกให้เข้ามาในศูนย์กลางฯ เพื่อทำธุรกรรมนอกประเทศระหว่างกันที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนนั้น จะเป็นที่สนใจก็ต่อเมื่อศูนย์กลางฯ มีกลไกยุติข้อพิพาทที่รวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากการแทรกแซง ทั้งกลไกอนุญาโตตุลาการและกลไกศาล แต่ระบบกฎหมายของไทย ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจได้
นอกจากนี้ เคยมีกรณีที่ศาลไทยไม่ยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ และรัฐบาลไทยเองก็ไม่ยอมรับกลไกอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น องค์ประกอบนี้จึงเป็นลบชัดเจนในด้านธรรมาภิบาล ดัชนีคอร์รัปชั่น ปี 2024 ของไทยก็ต่ำอยู่เพียงอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ ไม่อาจเทียบกับสิงคโปร์ อันดับ 3 และฮ่องกงอันดับ 17 ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่สถาบันการเงินระดับโลกที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นจะยอมเข้ามาในศูนย์กลางฯ ที่มีอันดับแค่ 107 รัฐมนตรีคลังจึงย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าใน 2 องค์ประกอบข้างต้น ไทยไม่สามารถแข่งขันกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์ได้เลย เป้าหมายนี้ไม่สามารถเกิดได้จริง
“ผมสงสัยว่าเป้าหมายแท้จริงอาจไม่ใช่ตลาดนอกประเทศ แต่อาจเพื่อออกเงินดิจิทัลสำหรับตลาดในประเทศ ด้วยข้อพิรุธ 2 ข้อ 1.ถึงแม้มติ ครม. ระบุว่า “ให้บริการเฉพาะผู้ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น” แต่ในมาตรา 53 (2) มีการสอดไส้ให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศเอาไว้ด้วย 2.หนังสือของกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวต่อ ครม. ระบุว่า “ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย” หมายถึงผู้ที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย แต่ในร่าง พ.ร.บ. ได้ตัดเงื่อนไขนี้ออกไป จึงส่อพิรุธว่า เป้าหมายที่แท้จริงอาจเพื่อการออกเงินดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นเงินตราสำหรับใช้ในประเทศ“ นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวตั้งข้อสังเกตว่า ร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายแฝงเพื่อปลดล็อกสองปัญหาเรื่องเงินดิจิทัลใช่หรือไม่ ปัญหาที่ 1 ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตตามกฎหมายเงินตราต้องผ่าน ธปท. ซึ่งอาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 10 ปลดอำนาจ ธปท. ไปให้คณะกรรมการพิจารณาแทน ปัญหาที่ 2 ปัจจุบันการพิจารณาอนุญาตเชื่อมเงินดิจิทัลกับระบบบาทเนต ซึ่ง ธปท. อาจจะไม่เห็นด้วย ร่างมาตรา 36 ได้ปลดอำนาจในกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงินทิ้งไปเลย
“ผมเรียกร้องให้ ครม. ทบทวน เพราะการตรากฎหมายที่ไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ได้จริง แต่กลับมีผลแฝง เป็นการรวบอำนาจนโยบายการเงินไปจาก ธปท. จะสร้างความหายนะให้แก่ประเทศ และจะกระทบความน่าเชื่อถือในระดับสากล” อดีต รมว.คลัง กล่าว.